backup og meta

วิตามินเด็ก มีความสำคัญอย่างไร และเด็กควรได้รับวิตามินอะไรบ้าง

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงสุสิตา หวังจิรนิรันดร์ · พ่อแม่เลี้ยงลูก · โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 30/12/2022

    วิตามินเด็ก มีความสำคัญอย่างไร และเด็กควรได้รับวิตามินอะไรบ้าง

    วิตามินเด็ก เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตทางร่างกาย พัฒนาการทางสมองและสติปัญญาของเด็ก ซึ่งเด็กควรได้รับวิตามินอย่างเพียงพอจากการรับประทานอาหารที่หลากหลายในแต่ละวัน แต่สำหรับเด็กที่มีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมสารอาหาร อาจจำเป็นต้องรับประทานวิตามินเสริม เพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินอย่างเพียงพอต่อความต้องการ

    วิตามินเด็ก มีความสำคัญอย่างไร

    เด็กควรได้รับวิตามินที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นประจำทุกวัน จากการรับประทานอาหารที่หลากหลายอย่างเหมาะสม เนื่องจากวิตามินแต่ละชนิดมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของเด็กที่แตกต่างกัน เช่น

    • วิตามินบี ช่วยในการเผาผลาญสารอาหาร เพิ่มพลังงาน และส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
    • วิตามินซี ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยรักษาความบาดเจ็บภายในร่างกาย
    • วิตามินดี ช่วยส่งเสริมโครงสร้างและความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
    • วิตามินเอ ช่วยส่งเสริมสุขภาพดวงตา ป้องกันภาวะตาบอดตอนกลางคืน

    หากเด็กขาดวิตามินที่สำคัญต่อร่างกาย อาจส่งผลให้เด็กมีปัญหาสุขภาพ เช่น พัฒนาการพูดล่าช้า สมาธิสั้น ขาดสารอาหาร ป่วยบ่อย ฟันผุ อาการซึมเศร้าและวิตกกังวล ผิวหนัง เส้นผมและเล็บมีสุขภาพที่ไม่ดี

    เด็กต้องการวิตามินเสริมหรือไม่

    วิตามินมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางร่างกายและพัฒนาการทางสมองของเด็ก ซึ่งเด็กจะได้รับวิตามินอย่างเหมาะสมจากอาหารที่รับประทานในแต่ละวันอยู่แล้ว เด็กบางคนจึงอาจไม่จำเป็นที่จะต้องรับประทานวิตามินเสริมเพิ่มเติม

    อย่างไรก็ตาม วิตามินเสริมอาจมีความจำเป็นต่อเด็กบางคนที่มีภาวะสุขภาพที่อาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินที่ควรได้รับอย่างเหมาะสม ดังนี้

    • เด็กที่ไม่ยอมรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม ชอบกินจุบจิบ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร
    • เด็กที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ
    • เด็กที่มีความเจ็บป่วยเรื้อรังและส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหารในร่างกาย เช่น ปัญหาทางเดินอาหาร โรคซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดเมือกหนาและเหนียวในระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบสืบพันธุ์
    • เด็กที่แพ้แลคโตส ซึ่งมีปัญหาในการย่อยนมและผลิตภัณฑ์จากนม
    • เด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย น้ำหนักตัวเพิ่มยากแม้จะรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม
    • เด็กที่รับประทานอาหารจานด่วน อาหารแช่แข็งพร้อมทาน อาหารแปรรูปเป็นประจำและจำนวนมาก
    • เด็กที่ดื่มน้ำอัดลมมาก ๆ อาจทำให้ร่างกายขับวิตามินและแร่ธาตุออกจากร่างกายได้ง่าย

    เด็กควรได้รับวิตามินอะไรบ้าง

    เด็กควรได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาการต่าง ๆ ดังนี้

    วิตามินบี

    วิตามินบีมีทั้งหมด 8 ชนิด ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยควบคุมการเผาผลาญสารอาหาร ช่วยเพิ่มพลังงาน ช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยส่งเสริมสุขภาพของเซลล์ประสาทและสมอง โดยเด็กควรได้รับวิตามินดี ดังนี้

    • วิตามินบี 1 หรือ ไทอามีน (Thiamine) เด็กแรกเกิดจนถึง 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 0.2-1.2 มิลลิกรัม/วัน
    • วิตามินบี 2 หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) เด็กแรกเกิดจนถึง 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 0.3-1.3 มิลลิกรัม/วัน
    • วิตามินบี 3 หรือ ไนอะซิน (Niacin) เด็กแรกเกิดจนถึง 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 2-16 มิลลิกรัม/วัน
    • วิตามินบี 5 หรือ กรดแพนโทเทนิก (Pantothenic Acid) เด็กแรกเกิดจนถึง 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 1.7-5 มิลลิกรัม/วัน
    • วิตามินบี 6 หรือ ไพริดอกซีน (Pyridoxine) เด็กแรกเกิดจนถึง 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 0.1-1.3 มิลลิกรัม/วัน
    • วิตามินบี 7 หรือ ไบโอติน (Biotin) เด็กแรกเกิดจนถึง 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 5-30 ไมโครกรัม/วัน
    • วิตามินบี 9 หรือ โฟเลต (Folate) เด็กแรกเกิดจนถึง 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 65-400 ไมโครกรัม/วัน
    • วิตามินบี 12 หรือ โคบาลามิน (Cobalamin) เด็กแรกเกิดจนถึง 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 0.4-2.4 ไมโครกรัม/วัน

    วิตามินดี

    วิตามินดีมีบทบาทในการทำงานร่วมกับแคลเซียม เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกและความแข็งแรงของกระดูก โดยเด็กควรได้รับวิตามินดี ดังนี้

    • อายุ 0-6 เดือน ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 400-1,000 IU/วัน
    • อายุ 6-12 เดือน ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 400- 1,500 IU/วัน
    • อายุ 1- 3 ปี ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 600- 2,500 IU/วัน
    • อายุ 4- 8 ปี ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 600- 3,000 IU/วัน
    • อายุ 9 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินดีประมาณ 600- 4,000 IU/วัน

    วิตามินซี

    วิตามินซีมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันโรค เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อ ช่วยในการสมานแผล รวมถึงยังช่วยส่งเสริมสุขภาพผิว ป้องกันปัญหาเลือดออกตามไรฟันอีกด้วย โดยเด็กควรได้รับวิตามินซี ดังนี้

    • อายุ 0-6 เดือน ควรได้รับวิตามินซี 40 มิลลิกรัม/วัน
    • อายุ 7-12 เดือน ควรได้รับวิตามินซี 50 มิลลิกรัม/วัน
    • อายุ 1-3 ปี ควรได้รับวิตามินซี 15 มิลลิกรัม/วัน
    • อายุ 4-8 ปี ควรได้รับวิตามินซี 25 มิลลิกรัม/วัน
    • อายุ 9-13 ปี ควรได้รับวิตามินซี 45 มิลลิกรัม/วัน
    • เด็กผู้หญิงอายุ 14-18 ปี ควรได้รับวิตามินซี 65 มิลลิกรัม/วัน
    • เด็กผู้ชายอายุ 14-18 ปี ควรได้รับวิตามินซี 75 มิลลิกรัม/วัน

    วิตามินเอ

    วิตามินเออาจช่วยส่งเสริมสุขภาพดวงตา ป้องกันภาวะตาบอดตอนกลางคืน และช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยเด็กควรได้รับวิตามินเอ ดังนี้

    • อายุ 0-6 เดือน ควรได้รับวิตามินเอ 400 ไมโครกรัม/วัน
    • อายุ 7-12 เดือน ควรได้รับวิตามินเอ 500 ไมโครกรัม/วัน
    • อายุ 1-3 ปี ควรได้รับวิตามินเอ 300 ไมโครกรัม/วัน
    • อายุ 4-8 ปี ควรได้รับวิตามินเอ 400 ไมโครกรัม/วัน
    • อายุ 9-13 ปี ควรได้รับวิตามินเอ 600 ไมโครกรัม/วัน
    • เด็กผู้หญิงอายุ 14 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินเอ 700 ไมโครกรัม/วัน และเด็กผู้ชายควรได้รับวิตามินเอ 900 ไมโครกรัม/วัน

    วิตามินเค

    วิตามินเคอาจมีความสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด และช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูก โดยเด็กควรได้รับวิตามินเค ดังนี้

    • อายุ 0-6 เดือน ควรได้รับวิตามินเค 2 ไมโครกรัม/วัน
    • อายุ 7-12 เดือน ควรได้รับวิตามินเค 2.5 ไมโครกรัม/วัน
    • อายุ 1-3 ปี ควรได้รับวิตามินเค 30 ไมโครกรัม/วัน
    • อายุ 4-8 ปี ควรได้รับวิตามินเค 55 ไมโครกรัม/วัน
    • อายุ 9-13 ปี ควรได้รับวิตามินเค 60 ไมโครกรัม/วัน
    • เด็กผู้หญิงและเด็กชายอายุ 14-18 ปี ควรได้รับวิตามินเค 75 ไมโครกรัม/วัน
    • เด็กผู้หญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินเค 90 ไมโครกรัม/วัน และเด็กผู้ชายควรได้รับวิตามินเค 120 ไมโครกรัม/วัน

    นอกจากนี้ ยังมีแร่ธาตุสำคัญที่เด็กควรได้รับ ดังนี้

    • แคลเซียม เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน ซึ่งอาจช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงและรักษามวลกระดูกที่สูญเสียไป โดยเด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับ 700 มิลลิกรัม/วัน เด็กอายุ 4-8 ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัม/วัน และเด็กอายุ 9-18 ปี ควรได้รับ 1,300 มิลลิกรัม/วัน
    • ธาตุเหล็ก ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและเพิ่มปริมาณน้ำเลือด ที่มีความสำคัญในการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเด็กควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 7-10 มิลลิกรัม/วัน สำหรับวัยรุ่นผู้ชายควรได้รับประมาณ 11 มิลลิกรัม/วัน และผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือนอาจต้องการมากขึ้นประมาณ 15 มิลลิกรัม

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงสุสิตา หวังจิรนิรันดร์

    พ่อแม่เลี้ยงลูก · โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร


    เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 30/12/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา