backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

คอร์ติโซน (Cortisone)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

ข้อบ่งใช้

ยาคอร์ติโซนใช้สำหรับ

ยาคอร์ติโซน (Cortisone) มักใช้เพื่อรักษาสภาวะ เช่น โรคข้ออักเสบ เลือดผิดปกติ ฮอร์โมนผิดปกติ ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ อาการแพ้ สภาวะของผิวหนังหรือดวงตาบางอย่าง ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ โรคมะเร็งบางชนิด

วิธีใช้ยาคอร์ติโซน

รับประทานยานี้พร้อมกับอาหารหรือนม เพื่อป้องกันอาการท้องไส้ปั่นป่วน รับประทานยาพร้อมกับดื่มน้ำเต็มแก้ว (8 ออนซ์/240 มล.) เว้นแต่แพทย์จะสั่งอย่างอื่น

หากคุณใช้ยานี้วันละครั้ง ควรรับประทานยาก่อนเวลา 9 นาฬิกาในตอนเช้า หากคุณใช้ยาวันเว้นวันหรือใช้ตามตารางการใช้ยาอื่นนอกเหนือจากการใช้ยาทุกวัน การทำเครื่องหมายบนปฏิทินอาจช่วยเตือนความจำได้

ขนาดยาและระยะเวลาในการรักษา ขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา ควรใช้ยานี้เป็นประจำเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากยา เพื่อให้จำง่ายขึ้น ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน

ควรใช้ยานี้อย่างต่อเนื่อง แม้คุณจะรู้สึกเป็นปกติ ควรทำตามตารางการใช้ยาอย่างระมัดระวัง และรับประทานยาตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด

อย่าหยุดใช้ยานี้โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน สภาวะบางอย่างอาจรุนแรงขึ้น หากหยุดใช้ยากะทันหัน จึงควรค่อยๆ ลดขนาดยา

แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณไม่หายไปหรือแย่ลง

การเก็บรักษายาคอร์ติโซน

ยาคอร์ติโซนควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสียหายหรือเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาคอร์ติโซนบางยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บรักษาแตกต่างออกไป จึงควรอ่านคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย

ไม่ควรทิ้งยาคอร์ติโซนลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเภสัชกร

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาคอร์ติโซน

ก่อนใช้ยาคอร์ติโซน แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือแพ้ต่อยาคอร์ติโคสเตียรอยด์อื่นๆ (corticosteroids) เช่น เพรดนิโซน (prednisone) หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีสารไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ไม่ควรใช้ยานี้หากคุณมีสภาวะบางอย่าง ก่อนใช้ยานี้โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ได้แก่ การติดเชื้อราที่มีอาการอยู่ และไม่ได้รับการรักษา

ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะ

  • ปัญหาเกี่ยวกับอาการเลือดออก เคยมีลิ่มเลือด
  • โรคกระดูกพรุน
  • โรคเบาหวาน
  • โรคตา เช่น โรคต้อกระจก โรคต้อหิน หรือการติดเชื้อเริมที่ดวงตา
  • ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เช่น หัวใจวาย
  • ภาวะความดันโลหิตสูง
  • การติดเชื้ออื่นๆ เช่น วัณโรค หรือการติดเชื้อเริม
  • โรคไต ปัญหาเกี่ยวกับไต
  • ปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น โรคตับแข็ง
  • สภาวะทางอารมณ์หรือจิตใจ เช่น โรคจิต วิตกกังวล ซึมเศร้า
  • ระดับแร่ธาตุในเลือดต่ำ เช่น โพแทสเซียมต่ำ แคลเซียมต่ำ
  • ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือลำไส้ เช่น เป็นแผล โรคลำไส้อักเสบชนิดมีแผล หรือโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
  • ปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์

ยานี้อาจปกปิดสัญญาณของการติดเชื้อ หรือทำให้เสี่ยงติดเชื้อรุนแรงได้มากขึ้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีอาการบาดเจ็บหรือสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น เจ็บคอ เป็นไข้ ไอบ่อย มีอาการปวดขณะปัสสาวะ ปวดกล้ามเนื้อ เกิดขึ้นระหว่างการรักษา

การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นเวลานาน อาจทำให้ร่างกายตอบสนองต่อความตึงเครียดได้ยากขึ้น ดังนั้น ก่อนการผ่าตัดหรือการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน หรือหากคุณมีการบาดเจ็บหรืออาการป่วยที่รุนแรง ควรแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบว่า คุณกำลังใช้ยานี้หรือเคยใช้ยานี้ภายในเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา

แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดอาการเหนื่อยล้า หรือน้ำหนักลดอย่างผิดปกติหรือรุนแรง หากคุณใช้ยานี้เป็นเวลานาน ควรพกบัตรประจำตัวผู้ป่วย หรือสายรัดข้อมือประจำตัวผู้ป่วย ที่บ่งบอกว่าคุณกำลังใช้ยานี้

อย่าสร้างภูมิคุ้มกัน รับวัคซีน หรือทำการตรวจภูมิแพ้ทางผิวหนังนอกเสียจากแพทย์จะสั่งแบบเจาะจง วัคซีนเชื้อเป็นนั้นอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่างรุนแรง เช่น การติดเชื้อ หากกำลังใช้ยานี้ ควรหลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ที่เพิ่งรับวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอแบบรับประทาน หรือวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่รับโดยการสูดดม

หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใส หรือโรคหัด เว้นแต่คุณจะเคยเป็นโรคเหล่านี้แล้ว เช่น ในสมัยเด็ก หากคุณได้รับเชื้อเหล่านี้ชนิดใดชนิดหนึ่งและคุณยังไม่เคยเป็นโรคนั้น ควรรับการรักษาในทันที

หากคุณเคยมีแผลเปื่อย ใช้ยาแอสไพรินในขนาดสูง หรือใช้ยารักษาโรคข้ออักเสบอื่นๆ ควรจำกัดปริมาณของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะที่กำลังใช้ยานี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้

หากคุณเป็นโรคเบาหวาน ยานี้ยังอาจทำให้คุณควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยากขึ้น ควรเฝ้าระวังระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ แจ้งผลให้แพทย์ทราบ คุณอาจจำเป็นต้องปรับยาสำหรับโรคเบาหวาน โปรแกรมการออกกำลังกาย หรืออาหารที่รับประทาน

ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน จงอย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย และควรจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ยานี้อาจชะลอความเร็วในการเจริญเติบโตของเด็กได้ หากใช้เป็นเวลานาน โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ควรพาเด็กไปตรวจวัดส่วนสูงและการเจริญเติบโตที่สถานพยาบาลเป็นประจำ

ในช่วงตั้งครรภ์ ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น เคยมีรายงานที่พบได้ยากถึงอันตรายของยานี้ต่อทารกในครรภ์ โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยา ทารกที่เกิดจากมารดาที่ใช้ยานี้ในเวลานาน อาจจะมีระดับของฮอร์โมนคอร์ติโคสเตียรอยด์ต่ำ แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณสังเกตเห็นอาการ เช่น คลื่นไส้อาเจียนบ่อยครั้ง ท้องร่วงอย่างรุนแรง อาการอ่อนแรงของทารกแรกคลอด

ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ยานี้สามารถส่งผ่านน้ำนมแม่ได้หรือไม่ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้

ยาคอร์ติโซนจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด N โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A = ไม่มีความเสี่ยง
  • B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C = อาจจะมีความเสี่ยง
  • D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X = ห้ามใช้
  • N = ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยาคอร์ติโซน

อาจเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน ปวดหัว วิงเวียน มีปัญหากับการนอนหลับ ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น หรือรอบเดือนเปลี่ยนแปลง เช่น มาช้า ผิดปกติ หรือขาดประจำเดือน

หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากคำนวณแล้วว่า ยามีประโยชน์มากกว่าโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงใดๆ

แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นแต่รุนแรงดังต่อไปนี้

  • อุจจาระเป็นสีดำ
  • ปวดกระดูกหรือข้อต่อ
  • มีรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย
  • หัวใจเต้นเร็ว รัว หรือผิดปกติ
  • หายใจติดขัด
  • กระหายน้ำเพิ่มขึ้น หรือปัสสาวะเพิ่มขึ้น
  • มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจหรืออารมณ์ เช่น ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน กระวนกระวาย
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นบ่อยครั้ง
  • มีอาการบวมที่ข้อเท้า เท้า ใบหน้า
  • แผลหายช้า
  • ชัก
  • มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น เป็นไข้บ่อย เจ็บคอบ่อย
  • ปวดท้อง
  • ผิวบาง
  • เส้นขนเจริญเติบโตผิดปกติ ผิวหนังเจริญเติบโตผิวปกติ
  • การมองเห็นเปลี่ยนแปลง
  • อาเจียนคล้ายกากกาแฟ
  • อ่อนแรง

การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรง คือ วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด ผดผื่น คันหรือบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ

ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ โดยเฉพาะ

  • ยาอัลเดสลูคิน (aldesleukin)
  • ยาเม็ดคุมกำเนิด
  • ยารักษาโรคเบาหวาน
  • ยาทดแทนฮอร์โมนเอสโทรเจน (estrogen hormone replacement)
  • มิฟีพริสโตน (mifepristone)
  • ยาที่ส่งผลกระทบต่อเอนไซม์ตับที่กำจัดยาคอร์ติโซนออกจากร่างกาย เช่น ยาต้านเชื้อรากลุ่มเอโซล (azole antifungals) อย่างคีโตโคนาโซล (ketoconazole) ยาในกลุ่มบาร์บิทูเรต (barbiturates) อย่างฟีโนบาร์บิทัล (phenobarbital) ยาในกลุ่มไรฟามัยซิน (rifamycins) อย่างไรแฟมพิน (rifampin) ยาต้านชักบางชนิด อย่างเฟนิโทอิน (phenytoin)
  • ยาที่ทำให้เกิดอาการเลือดออกหรือรอยช้ำ เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet drugs) อย่างโคลพิโดเกรล (clopidogrel) ยาเจือจางเลือด อย่างดาบิกาทราน (dabigatran) วาฟาริน (warfarin) ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) อย่างแอสไพริน เซเลโคซิบ (celecoxib) ไอบูโพรเฟน (ibuprofen)

หากแพทย์สั่งให้คุณใช้ยาแอสไพรินในขนาดต่ำ เพื่อป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง (ขนาดยาตามปกติคือ 81-325 มก. ต่อวัน) คุณควรใช้ยานี้ต่อไป นอกเสียจากแพทย์จะสั่งอย่างอื่น โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อการตรวจในห้องแล็บบางชนิด และอาจทำให้ผลตรวจเป็นเท็จได้ ควรแจ้งให้บุคลากรในห้องแล็บและแพทย์ของคุณทุกคนทราบว่า คุณกำลังใช้ยานี้

ยาคอร์ติโซนอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพรต่างๆ เป็นต้น เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาคอร์ติโซนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยาคอร์ติโซนอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาทุกครั้ง

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาคอร์ติโซนสำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะเลือดออกง่ายจากเกล็ดเลือดต่ำ

  • ยาเม็ดคุมกำเนิด

ชนิดไม่ทราบสาเหตุ

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการช็อก

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคอิริโทรบลาสต์โอพีเนีย (Erythroblastopenia)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคโลฟเฟลอร์ ซินโดรม (Loeffler’s Syndrome)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคซาร์คอยโดซิส (Sarcoidosis)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเบอริลีโอซีส (Berylliosis)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเนโฟรติก ซินโดรม (Nephrotic Syndrome)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคยูเวียอักเสบ (Uveitis)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคม่านตาอักเสบ

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคกระจกตาอักเสบ

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคม่านตาและเนื้อเยื่ออักเสบ

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคคอรอยด์และเรตินาอักเสบ (Chorioretinitis)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคคอรอยด์อักเสบ (Choroiditis)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคผิวหนังและกล้ามเนื้ออักเสบ

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเบอร์ไซติส (Bursitis)

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบแบบเกาต์

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคสะเก็ดเงินชนิดข้ออักเสบ

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้อศอกอักเสบ

25 มก. ถึง 300 มก. ต่อวัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ถึง 2 ครั้ง

การปรับขนาดยา

ขนาดยาที่ต่ำกว่า 25 มก. ต่อวันนั้น เพียงพอสำหรับรักษาโรคที่รุนแรงน้อยกว่า สำหรับโรคที่รุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาในขนาดสูงกว่า 300 มก. ต่อวัน

รักษาระดับของขนาดยาที่ต่ำที่สุด เท่าที่มีการตอบสนองทางการแพทย์ที่เพียงพอ โดยการค่อยๆ ลดขนาดยาเริ่มต้นในปริมาณเล็กน้อย

ควรค่อยๆ ปรับผู้ป่วยออกจากการรักษา หากใช้ยาเป็นเวลาหลายวันแล้ว

การปรับขนาดยาสำหรับไต

ควรใช้ยาสเตียรอยด์ด้วยความระมัดระวัง ในผู้ป่วยที่มีไตบกพร่อง

การปรับขนาดยาสำหรับตับ

ควรใช้ยาสเตียรอยด์ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง

ข้อควรระวัง

การหยุดใช้ยาคอร์ติโซนอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องทุติยภูมิ (Secondary adrenocortical insufficiency) แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการค่อยๆ ลดขนาดยา

การฟอกไต

ไม่จำเป็นต้องให้ยาเสริม

คำแนะนำอื่นๆ

ยาแขวนตะกอนสำหรับฉีดนั้นใช้สำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อเท่านั้น

ขนาดยาคอร์ติโซนสำหรับเด็ก

ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง

  • 0.5 มก. ถึง 0.75 มก./กก./วัน โดยแบ่งรับประทานในขนาดที่เท่ากันทุกๆ 8 ชั่วโมง
  • 0.25 มก. ถึง 0.35 มก./กก. ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อวันละครั้ง

รูปแบบของยา

ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้

  • ยาเม็ด

กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ

ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา