backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

โอฟลอกซาซิน (Ofloxacin)

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 16/11/2023

โอฟลอกซาซิน (Ofloxacin)

โอฟลอกซาซิน (Ofloxacin) เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ และอยู่ในกลุ่มของยาปฏิชีวนะควิโนโลน (quinolone)

ข้อบ่งใช้

โอฟลอกซาซิน ใช้สำหรับ

โอฟลอกซาซิน (Ofloxacin) เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ และอยู่ในกลุ่มของยาปฏิชีวนะควิโนโลน (quinolone) ยานี้ทำงานโดยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่ได้ผลกับการติดเชื้อไวรัส เช่น โรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น

วิธีการใช้ยา โอฟลอกซาซิน

  • รับประทานยาโอฟลอกซาซินตามที่แพทย์กำหนด และทำตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยานี้ในปริมาณมาก หรือน้อยเกินไป เป็นเวลานานกว่าที่แพทย์แนะนำ
  • รับประทานยาโอฟลอกซาซิน โดยปกติคือวันละ 2 ครั้ง ทุก ๆ 12 ชั่วโมง
  • ดื่มน้ำให้มากขณะที่กำลังใช้ยานี้เว้นเสียแต่แพทย์จะสั่งให้คุณทำแบบอื่น
  • รับประทานยานี้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อน หรือ 2 ชั่วโมงหลัง จากใช้ยาอื่น เช่น ยาควินาพริล (quinapril) ยาซูคราลเฟต (sucralfate) วิตามิน/แร่ธาตุ รวมถึงอาหารเสริมธาตุเหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม อะลูมิเนียม หรือแคลเซียม
  • เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรใช้ยานี้โดยเว้นระยะเวลาให้เท่ากัน เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
  • โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่หายไป หรือแย่ลง

การเก็บรักษายา โอฟลอกซาซิน

  • ยาโอฟลอกซาซิน ควรเก็บที่อุณหภูมิห้องให้พ้นแสง และความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ
  • ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง
  • เก็บยาให้พ้นจากมือเด็ก และสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย
  • ไม่ควรทิ้งยาโอฟลอกซาซิน ลงในชักโครก หรือในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง

ยาโอฟลอกซาซินบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน หากคุณมีข้อกังวล หรือข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้จากเภสัชกร และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งได้ในทันที

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา โอฟลอกซาซิน

ก่อนตัดสินใจใช้ยานี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินประโยชน์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยคุณจำเป็นต้องทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • แจ้งให้แพทย์ หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือแพ้ต่อยาปฏิชีวนะควิโนโลนอื่น ๆ เช่น ยาไซโปรฟลอกซาซิน (ciprofloxacin) ยาเลโวฟลอกซาซิน (levofloxacin) เป็นต้น
  • ก่อนใช้ยานี้แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะโรคชัก โรคปลายประสาทอักเสบ (peripheral neuropathy) โรคไต โรคตับ ความผิดปกติทางจิตใจหรืออารมณ์ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอ็มจี (myasthenia gravis) และปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อหรือเส้นเอ็น
  • ยาโอฟลอกซาซินอาจทำให้เกิดสภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจ อย่างระยะคิวทียาวในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (QT prolongation in the EKG) อาจทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติที่รุนแรง และถึงแก่ชีวิต) 
  • ระดับของโพแทสเซียม หรือแมกนีเซียมในเลือดต่ำยังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดระยะคิวทียาวได้อีกด้วย ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากคุณกำลังใช้ยาบางอย่างเช่น ยาขับปัสสาวะ
  • ยานี้อาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะหากคุณเป็นโรคเบาหวาน ควรตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นประจำและแจ้งผลให้แพทย์ทราบ พร้อมเฝ้าระวังอาการระดับน้ำตาลในเลือดสูง
  • ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ง่วงซึม อย่าขับรถ และงดใช้เครื่องจักร เพื่อความปลอดภัย
  • ยานี้อาจทำให้คุณมีปฏิกิริยาไวต่อแสงอาทิตย์ได้ ควรจำกัดเวลาในการอยู่ใต้แดด หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดด และควรทาครีมกันแดด 
  • เด็กอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อหรือเส้นเอ็น
  • ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า
  • ในช่วงขณะการตั้งครรภ์ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น โปรดปรึกษาความเสี่ยง และประโยชน์จากแพทย์
  • ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายานี้สามารถส่งผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้ หรือไม่ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์ เพื่อวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ก่อนใช้ยาโอฟลอกซาซินจากอ้างอิงจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ยานี้จัดเป็นยากลุ่มเสี่ยงสำหรับสตรีมีครรภ์ประเภท C

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A= ไม่มีความเสี่ยง
  • B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C= อาจจะมีความเสี่ยง
  • D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X= ห้ามใช้
  • N= ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยา โอฟลอกซาซิน

ผลข้างเคียงที่จากการใช้ยาโอฟลอกซาซิน มีดังนี้

  • ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ ท้องร่วง
  • ปวดหัว วิงเวียน หน้ามืด
  • นอนไม่หลับ
  • มีรอยช้ำ
  • มีรอยสีขาวภายในปาก
  • ผดผื่นคัน หรือบวม
  • ใบหน้า ลิ้น ลำคอบวม
  • มีสัญญาณการติดเชื้อชนิดใหม่
  • ปัญหาเกี่ยวกับไต ตับ
  • มีความเปลี่ยนแปลงของสารคัดหลั่งจากช่องคลอด

โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใด ๆ

บางครั้งยานี้อาจทำให้เกิดสภาวะลำไส้ที่รุนแรง เช่น อาการท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับคลอสทริเดียม ดิฟิซายล์ (Clostridium difficile-associated diarrhea) เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยาบางอย่าง สภาวะนี้สามารถเกิดได้ระหว่างการรักษาหรือเป็นสัปดาห์จนถึงเดือนหลังจากหยุดการรักษา

ไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงอาการอันเนื่องมาจากผลข้างเคียงเหล่านี้ อาจมีผลข้างเคียงอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีความกังวลเรื่องผลข้างเคียง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

  • ยาที่อาจจะมีปฏิกิริยากับยานี้ ได้แก่ ยาเจือจางเลือด เช่น ยาอะซีโนคูมารอล (acenocoumarol) ยาวาฟาริน (warfarin) ยาสตรอนเทียม (strontium)
  • ยาจำนวนมากนอกเหนือจากยาโอฟลอกซาซินที่สามารถส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจได้ (ภาวะระยะคิวทียาว) ทั้งโดฟีทิไลด์ (dofetilide) ยาโพรคาอินาไมด์ (procainamide) ยาอะมิดาโรน (amiodarone) ยาควินิดีน (quinidine) ยาโซทาลอล (sotalol) และอื่นๆ
  • อาจลดประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดได้และส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์ หากคุณกำลังคุมกำเนิดด้วยการใช้ฮอร์โมน โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
  • ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการตรวจในห้องแล็บบางชนิด เช่น การตรวจคัดกรองสารโอปิเอต (opiates) ภายในปัสสาวะ และอาจทำให้ผลตรวจเป็นเท็จได้ โปรดแจ้งแพทย์ให้ทราบว่าคุณกำลังใช้ยานี้

ยาโอฟลอกซาซินอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์ หรือเภสัชกรของถึงยา อาหารเสริม และสมุนไพรที่คุณกำลังใช้อยู่ เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใด ๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาโอฟลอกซาซินอาจอาจทำปฏิกิริยากับอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจะปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพการทำงานของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงรุนแรงอื่น ๆ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยาโอฟลอกซาซินอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาโอฟลอกซาซินสำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis)

  • 400 มก. รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 10 วัน
  • เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังที่มีอาการกำเริบเฉียบพลันเนื่องจากเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซา (Haemophilus influenzae) หรือเชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนีย (Streptococcus pneumoniae)

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคปอดบวม (Pneumonia)

  • 400 มก. รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 10 วัน
  • เพื่อรักษาโรคปอดบวมในชุมชนเนื่องจากเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซา หรือเชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนีย เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังและโครงสร้างผิวหนังเนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาเมทิซิลลิน เชื้อเสตร็ปโทโคคัส ไพออจินีหรือเชื้อโพเทียส มิราบิลิส

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังและโครงสร้างผิว

  • 400 มก. รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 10 วัน
  • เพื่อรักษาโรคปอดบวมในชุมชนเนื่องจากเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซาหรือเชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนีย เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังและโครงสร้างผิวหนังเนื่องจากเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาเมทิซิลลิน เชื้อเสตร็ปโทโคคัส ไพออจินี หรือเชื้อโพเทียส มิราบิลิส

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคหนองในแท้ (Gonococcal Infection) – ไม่ซับซ้อน

  • 400 มก. รับประทาน 1 ครั้ง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคหนองในเทียม (Nongonococcal Urethritis)

  • 300 มก. รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 7 วัน
  • เนื่องจากอัตราในการดื้อยาสูงจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาฟลูออโรควิโนโลนในการรักษาโรคหนองในแท้ในอเมริกา แนะนำวิธีการรักษาด้วยยาเซฟไตรอะโซน และยาอะซิโธรไมซิน เพื่อรักษาโรคหนองในแท้เสียมากกว่า

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อคลามายเดีย (Chlamydia Infection)

  • 300 มก. รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 7 วัน
  • เนื่องจากอัตราในการดื้อยาสูงจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาฟลูออโรควิโนโลนในการรักษาโรคหนองในแท้ในอเมริกา แนะนำวิธีการรักษาด้วยยาเซฟไตรอะโซน และยาอะซิโธรไมซิน ทดแทน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis)

  • 300 มก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 7 วัน
  • เนื่องจากอัตราในการดื้อยาสูงจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาฟลูออโรควิโนโลนในการรักษาโรคหนองในแท้ในอเมริกา แนะนำวิธีการรักษาด้วยยาเซฟไตรอะโซน และยาอะซิโธรไมซิน ทดแทน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease)

  • 400 มก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 10 – 14 วัน
  • หากคาดว่าจะติดเชื้อก่อโรครวมถึงจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ (anaerobic microorganisms) ควรใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสมกับจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ
  • เนื่องจากอัตราในการดื้อยาสูงจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาฟลูออโรควิโนโลนในการรักษาการติดเชื้อโกโนเรียในอเมริกา ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้สูตรยาที่มียาควิโรโลนสำหรับการรักษาโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)

  • 200 มก. รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมง
  • สำหรับการรักษาการติดเชื้อเอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia coli) หรือเชื้อเคล็บซีเอลลา นิวโมเนีย (Klebsiella pneumoniae) 3 วัน
  • สำหรับการติดเชื้ออื่น ๆ 7 วัน
  • เนื่องจากยาฟลูออโรควิโนโลน (รวมถึงยานี้) ที่มีความเกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่รุนแรงและโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ซับซ้อนนั้นเป็นข้อจำกัดของตัวเองในผู้ป่วยบางราย ยานี้ควรเก็บไว้ใช้รักษาผู้ป่วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ซับซ้อนที่ไม่มีทางเลือกในการรักษาอื่น

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

  • 200 มก. รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 10 วัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis)

  • 300 มก. รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 6 สัปดาห์

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคอัณฑะอักเสบ (Epididymitis) – ไม่เฉพาะเจาะจง

  • 300 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 10 วัน
  • สูตรยาที่แนะนำสำหรับการรักษาโรคอัณฑะอักเสบเฉียบพลันที่มักจะเกิดจากเชื้อโรคในลำไส้
  • เนื่องจากอัตราในการดื้อยาสูงจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาฟลูออโรควิโนโลนในการรักษาการติดเชื้อโกโนเรีย ควรจะพิจารณาการใช้ยานี้ต่อเมื่อการจิดเชื้อนั้นน่าจะเกิดจากเชื้อในลำไส้และผลการตรวจออกมาแล้วว่าไม่ใช่ติดเชื้อโกโนเรีย

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคอัณฑะอักเสบ – โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  •  300 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 10 วัน
  • สูตรการใช้ยาร่วมกับยาเซฟไตรอะโซน (ceftriaxone) เป็นสูตรยาที่แนะนำสำหรับการรักษาโรคอัณฑะอักเสบเฉียบพลันที่มักจะเกิดจากเชื้อคลามายเดียและเชื้อในลำไส้ที่ถ่ายทอดทางเพศสัมพันธ์ (เพศชายที่ร่วมเพศทางทวารหนัก)
  • เนื่องจากอัตราในการดื้อยาสูงจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาฟลูออโรควิโนโลนในการรักษาการติดเชื้อโกโนเรีย ควรจะพิจารณาการใช้ยานี้ต่อเมื่อการจิดเชื้อนั้นน่าจะเกิดจากเชื้อในลำไส้และผลการตรวจออกมาแล้วว่าไม่ใช่ติดเชื้อโกโนเรีย

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคกรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)

  •  200 – 400 มก. รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 7 ถึง 14 วัน
  • แนะนำสำหรับการรักษาแบบครอบคลุมเชื้ออย่างกว้าง ๆ (empiric therapy) สำหรับโรคกรวยไตอักเสบเฉียบพลันแบบไม่ซับซ้อน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคบิดไม่มีตัว (Shigellosis)

  •  300 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • ระยะเวลาการรักษา ผู้ป่วยที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน 3 วัน ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง 7- 10 วัน
  • แนะนำใช้สำหรับการติดเชื้อสกุลชิเกลลา เชื้อสกุลอีโคไล เช่น เอนเทอโรท็อกซิเจนิก (enterotoxigenic) เอนเทอโรพาโทเจนิก (enteropathogenic) เชื้อแอโรโมแนส (Aeromonas) เชื้อ เพลสสิโอโมแนส (Plesiomonas)

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคท้องร่วงจากการติดเชื้อ

  •  300 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • ระยะเวลาการรักษา ผู้ป่วยที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน 3 วัน ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง 7- 10 วัน
  • แนะนำสำหรับการติดเชื้อสกุลชิเกลลา เชื้อสกุลอีโคไล เช่นเอนเทอโรท็อกซิเจนิก เอนเทอโรพาโทเจนิก หรือเอนเทอโรอินวาซีพ เชื้อแอโรโมแนส เชื้อเพลสสิโอโมแนส

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคไข้เอนเทอริคจากเชื้อซาลโมเนลลา (Salmonella Enteric Fever)

  •  300 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • ระยะเวลาการรักษา ผู้ป่วยที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน 5 – 7 วัน ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง 14 วัน (หรือนานกว่านั้นหากอาการกำเริบ)
  • แนะนำสำหรับการติดเชื้อซาลโมเนลลาชนิดไม่ใช่ไทฟอยด์ (non-typhi species) หากมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 50 ปี หรือผู้ป่วยที่ใช้อวัยวะเทียม เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหลอดเลือดแข็ง โรคมะเร็ง หรือโรคยูรีเมีย (uremia) ระดับรุนแรง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบจากเชื้อซาลโมเนลลา (Salmonella Gastroenteritis)

  •  300 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • ระยะเวลาการรักษา ผู้ป่วยที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน 5 – 7 วัน ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง 14 วัน (หรือนานกว่านั้นหากอาการกำเริบ)
  • แนะนำสำหรับการติดเชื้อซาลโมเนลลาชนิดไม่ใช่ไทฟอยด์ หากมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 50 ปี หรือผู้ป่วยที่ใช้อวัยวะเทียม เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหลอดเลือดแข็ง โรคมะเร็ง หรือโรคยูรีเมียระดับรุนแรง

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคท้องร่วงจากการท่องเที่ยว (Traveler’s Diarrhea)

  • 200 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • นักท่องเที่ยวควรรับการรักษา 3 วันและควรทำการประเมินตนเองอีกครั้งหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง หากอาการยังไม่หายไปหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยควรรักษาต่อไปจนกว่าจะหายดี หรือจนครบ 3 วัน

การปรับขนาดยาสำหรับไต

  • ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์ (CrCl) 20 ถึง 50 มล./นาที หลังจากให้ยาเริ่มต้นในขนาดปกติแล้ว มักจะแนะนำให้ใช้ยาทุก ๆ 24 ชั่วโมง
  • ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์น้อยกว่า 20 มล./นาที หลังจากให้ยาเริ่มต้นในขนาดปกติแล้ว มักจะแนะนำให้ใช้ยาในขนาดครึ่งหนึ่งของขนาดปกติทุก ๆ 24 ชั่วโมง

คำแนะนำ

  • ควรใช้ยาด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยไตบกพร่อง
  • ควรเฝ้าระวังทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดและทำการตรวจในห้องแล็บอย่างเหมาะสมก่อนและขณะรับการรักษา

การปรับขนาดยาสำหรับตับ

  • ตับบกพร่องขั้นรุนแรง (เช่นโรคตแข็งโดยมีหรือไม่มีน้ำในช่องท้อง) ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน 400 มก./วัน
  • คำแนะนำ

    • ควรใช้ยาด้วยความระมัดระวังกับผู้ป่วยตับบกพร่อง
    • ควรเฝ้าระวังทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดและทำการตรวจในห้องแล็บอย่างเหมาะสมก่อนและขณะรับการรักษา

    คำแนะนำอื่น ๆ

    • สามารถใช้ยาได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงอาหาร
    • รับประทานยาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม อะลูมิเนียม หรือแมกนีเซียม เช่นยาลดกรด ยาซูคราลเฟต (sucralfate) อาหารเสิรมแร่ธาตุ/วิตามินรวม บัฟเฟอร์เร็ดไดดาโนซีน (buffered didanosine)
    • บริโภคน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้ปัสสาวะเข้มข้นสูง

    การเก็บรักษา

    • เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 20 – 25 องศาเซลเซียส (68 ถึง 77 ฟาเรนไฮต์) ในขวดที่ปิดแน่นสนิท

    คำแนะนำทั่วไป

    • ยานี้มีข้อบ่งใช้เพื่อรักษาผู้ใหญ่ที่มีการติดเชื้อระดับเบาจนถึงปานกลาง (เว้นเสียแต่ว่าจะมีข้อบ่งใช้อื่น) เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียสายพันธ์ุที่มีปฏิกิริยาไว
    • ควรพิจารณาผลการเพาะเชื้อและข้อมูลปฎิกิริยาตอบรับไวเมื่อเลือกหรือปรับการรักษาต้านแบคทีเรีย หรือหากไม่มีข้อมูลอาจพิจารณาการระบาดของโรคในชุมชนและรูปแบบปฏิกิริยาตอบรับไวเมื่อเลือกการรักษาแบบครอบคลุมอย่างกว้าง ๆ
    • ควรทำการเพาะเชื้อและตรวจความมีปฎิกิริยาตอบรับไวก่อนเริ่มต้นการรักษาเพื่อแยกและบ่งชี้เชื้อโรคและเพื่อพิสูจน์ความมีปฏิกิริยาไวต่อยานี้ ควรเริ่มต้นการรักษาก่อนทราบผล และควรรักษาอย่างเหมาะสมต่อไปเมื่อทราบผลแล้ว
    • เชื้อซูโดโมนาส แอรูกิโนซาบางสายพันธุ์อาจจะดื้อยาได้อย่างรวดเร็วขณะรับการรักษา

    การเฝ้าระวัง

    • เลือด การทำงานของระบบอวัยวะ รวมถึงเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (เป็นระยะ ๆ ระหว่างการรักษาในระยะยาว)
    • การทำงานของระบบอวัยวะ รวมถึงตับ.oระหว่างการรักษาในระยะยาว)
    • การติดเชื้อ/การระบาด การเพาะเชื้อและความมีปฏิกิริยาไว (เป็นระยะ ๆ ระหว่างการรักษาในระยะยาว)
    • ระบบเผาผลาญ น้ำตาลกลูโคสในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
    • ไต การทำงานของระบบอวัยวะ รวมถึงไต (เป็นระยะ ๆ ระหว่างการรักษาในระยะยาว)

    คำแนะนำผู้ป่วย

    • ดื่มน้ำให้มาก และอย่าลืมใช้ยาเพื่อรักษาจนครบกำหนด
    • หยุดใช้ยานี้ในทันทีหากมีอาการผื่นหรืออาการแพ้อื่น ๆ

    ขนาดยาโอฟลอกซาซิน สำหรับเด็ก

    ยังไม่มีการพิสูจน์ถึงความความปลอดภัย และประสิทธิภาพของขนาดยานี้สำหรับผู้ป่วยเด็ก เพื่อป้องกันอันตราย ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจกับความปลอดภัยของยาก่อนการใช้ยา หรือขอคำปรึกษาจากแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

    รูปแบบของยา

    ขนาดและรูปแบบของยามีดังนี้

    • ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
    • ยาสารละลายสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ

    กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

    หากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยทันที

    กรณีลืมใช้ยา

    หากคุณลืมรับประทานยาควรรีบรับประทานทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลารับประทานยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปรับประทานยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 16/11/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา