backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ไรซาทริปแทน (Rizatriptan)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 04/06/2020

ไรซาทริปแทน (Rizatriptan)

ไรซาทริปแทน (Rizatriptan) ใช้เพื่อรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน รวมไปถึงการบรรเทาอาการอื่น ๆ จากไมเกรน อาทิ อาการคลื่นไส้ อาเจียน อาการแพ้แสงและเสียง

ข้อบ่งใช้

ไรซาทริปแทน ใช้สำหรับ

ไรซาทริปแทน (Rizatriptan) ใช้เพื่อรักษาโรคไมเกรน ยานี้ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว อาการปวด และอาการของโรคไมเกรนอื่น ๆ (คลื่นไส้ อาเจียน แพ้แสง แพ้เสียง) การรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และอาจจะลดความจำเป็นในการใช้ยาอื่นได้ ยาไรซาทริปแทนอยู่ในกลุ่มของยาทริปแทน (triptans) ซึ่งจะส่งผลต่อสารเซโรโทนินตามธรรมชาติ (serotonin) ที่ทำให้หลอดเลือดในสมองแคบลง ยานี้ยังอาจช่วยบรรเทาอาการปวดโดยการส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทบางชนิดภายในสมอง

ยา ไรซาทริปแทน ไม่ได้ป้องกันการเกิดไมเกรนล่วงหน้า และไม่ได้ช่วยลดจำนวนครั้งในการกำเริบของโรคไมเกรน

วิธีการใช้ยาไรซาทริปแทน

รับประทานยาตามที่แพทย์กำหนดเมื่อเริ่มมีสัญญาณของโรคไมเกรน คุณสามารถรับประทานรับประทานยาพร้อมกับหรือปราศจากอาหารก็ได้ แต่ยานี้จะทำงานได้ดีกว่าหากใช้ตอนท้องว่าง ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ อายุ การตอบสนองต่อการรักษา และยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ สำหรับเด็กนั้นขนาดยายังขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวอีกด้วย โปรดแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ)

หากอาการไม่ดีขึ้น อย่าใช้ยาเพิ่มอีกจนกว่าจะปรึกษากับแพทย์แล้ว หากอาการของคุณดีขึ้นแค่บางส่วนหรือหากกลับมาปวดหัวอีกครั้ง ผู้ใหญ่อาจจะรับประทานยาได้อีกครั้งหลังจากใช้ยาครั้งแรกผ่านไปอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เด็กไม่ควรใช้ยามากกว่าหนึ่งครั้ง หรือ 5 มก. ภายใน 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ใหญ่นั้น ขนาดยาสูงสุดที่ผู้ผลิตที่สหรัฐอเมริกาแนะนำคือ 30 มก. ภายใน 24 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดที่ผู้ผลิตที่แคนาดาแนะนำคือ 20 มก. ภายใน 24 ชั่วโมง

หากคุณมีความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ แพทย์อาจตรวจหัวใจก่อนเริ่มใช้ยาไรซาทริปแทน และอาจสั่งให้คุณใช้ยานี้ครั้งแรกที่โรงพยาบาลหรือคลินิกเพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่รุนแรง (เช่น เจ็บหน้าอก) โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

หากคุณกำลังใช้ยานี้เพื่อรักษาอาการไมเกรนกำเริบเดือนละ 10 วันขึ้นไป ยานี้อาจจะทำให้อาการปวดหัวแย่ลงไปอีกกว่าเดิม (อาการปวดหัวจากการใช้ยาเกินขนาด) อย่าใช้ยานี้บ่อยกว่าหรือนานกว่าที่กำหนด โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณต้องใช้ยานี้บ่อยกว่ากำหนด หากยาไม่ได้ผลแล้ว หรือหากอาการปวดหัวแย่ลง

การเก็บรักษายา ไรซาทริปแทน

ควรเก็บรักษา ยาไรซาทริปแทน ที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาไรซาทริปแทนบางยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรอ่านคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย

ไม่ควรทิ้งยาซูมาทริปแทนลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องได้จากเภสัชกร

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา ไรซาทริปแทน

ก่อนใช้ยาไรซาทริปแทนโปรดแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ยาซูมาทริปแทน แพ้ต่อยาอื่น หรือมีอาการแพ้อื่น ๆ รวมถึงการแพ้ส่วนผสมไม่ออกฤทธิ์ของยาซูมาทริปแทน โปรดสอบถามเภสัชกรสำหรับรายชื่อส่วนผสมที่ไม่ออกฤทธิ์ และข้อมูลเพิ่มเติม

ก่อนใช้ยานี้โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพา

สภาวะบางอย่างอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณมีสภาวะดังต่อไปนี้

ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนหรือง่วงซึม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกัญชานั้นอาจทำให้อาการวิงเวียนหรือง่วงซึมรุนแรงขึ้นได้ ฉะนั้น อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวจนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปรึกษาแพทย์หากคุณใช้กัญชา

ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่าง ๆ

ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคตับ และความดันเลือดสูงนั้นจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ผู้สูงอายุอาจมีปฏิกิริยาไวกว่าต่อผลข้างเคียงของยานี้ โดยเฉพาะอาการความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้นและปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ

หากอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ควรใช้ยานี้ตามแพทย์สั่งภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น และโปรดปรึกษาแพทย์ถึงประโยชน์และความเสี่ยงของใช้ยา

ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายาไรซาทริปแทนสามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมหรือไม่ หากใช้ยานี้ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้

ยาคีโตโปรเฟนจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ ประเภท C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A = ไม่มีความเสี่ยง
  • B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C = อาจจะมีความเสี่ยง
  • D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X = ห้ามใช้
  • N = ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยาไรซาทริปแทน

อาจเกิดอาการหน้าแดง รู้สึกเป็นเหน็บชา ซ่า หรือร้อน เหนื่อยล้า อ่อนแรง ง่วงซึม หรือวิงเวียน หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้นโปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที

โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใด ๆ

ยานี้อาจจะเพิ่มระดับความดันโลหิตได้ ควรตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำและแจ้งให้แพทย์ทราบหากค่าความดันโลหิตออกมาสูงเกินปกติ

แจ้งให้แพทย์ทราบทันที หากคุณมีผลข้างเคียงรุนแรงอื่น ๆ ได้แก่

  • นิ้วมือ นิ้วเท้า หรือเล็บม่วง
  • อาการเย็นที่มือและเท้า
  • การได้ยินเปลี่ยนแปลง
  • จิตใจและอารมณ์เปลี่ยนแปลง

ยาไรซาทริปแทนสามารถทำให้เกิดอาการแน่น ปวด หรือแรงดันที่บริเวณหน้าอก กราม หรือคอได้ แม้อาการเหล่านี้จะไม่อันตราย แต่ก็คล้ายกับอาการของโรคหัวใจวายซึ่งมีทั้งอาการปวดหน้าอก กราม หรือแขนซ้าย หายใจลำบาก หรือเหงื่อออกผิดปกติ ฉะนั้น โปรดเข้ารับการรักษาทันทีหากเกิดอาการเหล่านี้หรือหากเกิดอาการอื่นที่รุนแรงดังต่อไปนี้

  • หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ
  • หมดสติ
  • ปวดท้องรุนแรง
  • ท้องเสียเป็นเลือด
  • สัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง (เช่น อ่อนแรงที่ด้านหนึ่งของร่างกาย พูดลำบาก การมองเห็นเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน สับสน)

ยานี้อาจเพิ่มระดับของสารเซโรโทนิน และในกรณีหายากอาจทำให้เกิดสภาวะที่รุนแรงมากอย่างกลุ่มอาการเซโรโทนิน (serotonin syndrome) หรือเซโรโทนินเป็นพิษ (serotonin toxicity) ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากคุณใช้ยาอื่นที่สามารถเพิ่มระดับของเซโรโทนินได้ ฉะนั้น โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (อ่านเพิ่มเติมในส่วนปฏิกิริยาของยา) เข้ารับการรักษาในทันทีหากเกิดอาการดังต่อไปนี้

  • หัวใจเต้นเร็ว
  • มองเห็นภาพหลอน
  • สูญเสียการเคลื่อนไหวที่สอดประสาน
  • วิงเวียนอย่างรุนแรง
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ท้องร่วงรุนแรง
  • กล้ามเนื้อกระตุก
  • เป็นไข้ที่หาสาเหตุไม่ได้
  • ร้อนรนหรือกระสับกระส่ายผิดปกติ

การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้

  • ผดผื่น
  • คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ)
  • วิงเวียนขั้นรุนแรง
  • หายใจติดขัด

ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาไรซาทริปแทนอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

การรับประทานยาตัวนี้ร่วมกับยาต้านซึมเศร้า หรือเอ็มเอโออินฮิบิเตอร์ (MAO inhibitors)  (MAO inhibitors) อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาของยาที่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ฉะนั้น อย่ารับประทานยาต้านซึมเศร้าดังต่อไปนี้ ร่วมกับยาซูมาทริปแทน และควรหยุดใช้ยาซึมเศร้าอื่น ๆ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเริ่มการรักษาด้วยยาซูมาทริปแทน แต่ห้ามหยุดกินยาเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

  • ยาไซโซคาร์โบซาซิด (isocarboxazid)
  • ยาลิเนโซลิด (linezolid)
  • ยาเมทิลีนบลู (methylene blue)
  • ยาโลโคลเบไมด์ (moclobemide)
  • ยาฟีเนลซีน (phenelzine)
  • ยาโพรคาร์เบซีน (procarbazine)
  • ยาราซาจิลีน (rasagiline)
  • ยาซาฟินาไมด์ (safinamide)
  • ยาเซเลจิลีน (selegiline)
  • ยาทรานีลไซโพรมีน (tranylcypromine)

ความเสี่ยงในการเกิดกลุ่มอาการเซโรโทนินหรือเซโรโทนินเป็นพิษนั้นจะเพิ่มขึ้นหากคุณใช้ยาที่อาจเพิ่มสารเซโรโทนิน เช่น

  • ยาเมทิลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน (MDMA)
  • ยาอี (ecstasy)
  • สมุนไพรเซนต์จอห์น (St. John’s wort)
  • ยาต้านซึมเศร้าบางชนิด (antidepressants) เช่น
    • ยาในกลุ่มเอสเอสอาร์ไอ (SSRIs) อย่าง ฟลูออกซิทีน (fluoxetine) หรือพาร็อกซีทีน (paroxetine)
    • ยาในกลุ่มเอสเอ็นอาร์ไอ (SNRIs) อย่าง ดูล็อกซีทีน (duloxetine) หรือเวนลาฟาซีน (venlafaxine)

หากคุณกำลังใช้ยาเออร์โกตามีน (ergotamine) เช่น ยาไดไฮโดรเออร์โกตามีน (dihydroergotamine) หรือยาทริปแทนอื่น ๆ เช่น ซูมาทริปแทน (sumatriptan) หรือซอลมิทริปแทน (zolmitriptan) คุณจะต้องทิ้งระยะในการใช้ยาไรซาทริปแทนและยาเหล่านี้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงที่อันตราย

ปฎิกิริยาต่ออาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาซูมาทริปแทนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยาต่ออาการโรคอื่น

ยาซูมาทริปแทนอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาไรซาทริปแทนสำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคไมเกรน

ใช้ยานี้ต่อเมื่อได้การรับวินิจฉัยว่าเป็นโรคไมเกรนแล้วเท่านั้น

ขนาดยาเริ่มต้น : 5 หรือ 10 มก. รับประทานหนึ่งครั้ง

  • หากมีการตอบสนองต่อยาในครั้งแรก อาจให้ยาครั้งที่สองได้หลังจากเวลาผ่านแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงหากมีอาการของโรคไมเกรนกลับมาอีก

ขนาดยาสูงสุด : 30 มก. ภายใน 24 ชั่วโมง

คำแนะนำ

  • ขนาดยา 10 มก. อาจให้ผลได้ดีกว่า แต่ก็อาจมีมีความเสี่ยงในการเกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์มากกว่า
  • ไม่ควรใช้ยานี้เพื่อรักษาโรคไมเกรนส่วนฐานกระโหลกศีรษะหรือแบบอัมพฤษกษ์ครึ่งซีกเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่า
  • ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยของการรักษาอาการไมเกรนกำเริบเฉลี่ย 4 ครั้งขึ้นไปภายใน 30 วัน
  • ยังไม่มีการพิสูจน์ประสิทธิภาพของการให้ยาครั้งที่สองหรือการให้ยาหลังจากนั้นในการทดลองแบบควบคุมโดยใช้ยาหลอก (placebo-controlled trials)

การใช้งาน

  • เพื่อรักษาโรคไมเกรนเฉียบพลันโดยมีหรือไม่มีสัญญาณเตือน

การปรับขนาดยาสำหรับตับ

ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง อาจพิจารณาปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีตับบกพร่องขั้นรุนแรง แต่ยังไม่มีแนวทางแนะนำโดยเฉพาะ

การปรับขนาดยา

ใช้ร่วมกับยาโพรพราโนลอล (PROPRANOLOL)

ผู้ใหญ่

  • ขนาดยาเริ่มต้น : 5 มก. รับประทานหนึ่งครั้ง
  • ขนาดยาสูงสุด : 3 ครั้ง (15 มก.) ภายใน 24 ชั่วโมง

เด็ก

  • น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก. : ไม่แนะนำให้ใช้
  • น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป ‘ ขนาดยาสูงสุดคือ 5 มก. ภายใน 24 ชั่วโมง

ผู้สูงอายุ

  • ควรระมัดระวังการเลือกขนาดยา โดยทั่วไปแล้วควรจะเริ่มที่ขนาดต่ำ

คำแนะนำอื่น ๆ

คำแนะนำการใช้ยา

ยาเม็ดสำหรับรับประทาน

  • สามารถรับประทานยาพร้อมกับหรือปราศจากอาหารก็ได้

ยาเม็ดแตกตัวสำหรับรับประทาน (ODT)

  • แกะเม็ดยาออกจากแผงเมื่อพร้อมใช้ยา
  • ใช้มือที่แห้งแกะยาแล้ววางยาไว้บนลิ้น อย่าดันให้ยาทะลุขึ้นมาจากแผงยา
  • ยาจะละลายบนลิ้น คุณสามารถกลืนยาไปพร้อมกับน้ำลายโดยไม่ต้องดื่มน้ำเพิ่ม

ทั่วไป

  • ควรใช้ยานี้เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไมเกรนเท่านั้น หากผู้ป่วยไม่มีการตอบสนอง ควรพิจารณาการวินิจฉัยโรคไมเกรนอีกครั้งก่อนรักษาอาการกำเริบครั้งถัดไป
  • ยานี้ไม่ได้ใช้สำหรับการรักษาอาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (cluster headaches) โรคไมเกรนส่วนฐานกระโหลกศีรษะ หรือแบบอัมพฤษกษ์ครึ่งซีก หรือใช้เพื่อป้องกันโรคไมเกรน
  • สำหรับผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ควรทำการประเมินหัวใจและหลอดเลือดก่อนเริ่มต้นการรักษา หากผลการประเมินหัวใจและหลอดเลือดอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ควรพิจารณาให้ยาครั้งแรกภายในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดและทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ทันทีหลังจากให้ยา
  • อาการปวดศีรษะเนื่องจากการใช้ยาเกินขนาดอาจมีอาการคล้ายกับไมเกรนหรือทำให้อาการไมเกรนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยารักษาโรคไมเกรนเฉียบพลัน เช่น ยาเออร์โกตามีน ยาทริปแทน หรือยาโอปิออยด์ (opioids) เป็นเวลาเดือนละ 10 วันขึ้นไป ควรหยุดใช้ยาเกินขนาดและทำการรักษาอาการขาดยา

การเฝ้าระวัง

  • ควรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจหลังจากให้ยาครั้งแรกสำหรับผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีผลการประเมินหัวใจและหลอดเลือดน่าพึงพอใจ ควรพิจารณาทำการตรวจหัวใจและหลอดเลือดเป็นระยะ ๆ ในผู้ป่วยที่ใช้ยาระยะยาวแบบไม่ต่อเนื่องที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • เฝ้าระวังความดันโลหิต
  • เฝ้าระวังกลุ่มอาการเซโรโทนิน หากต้องใช้ยาร่วมกับยาในกลุ่มเอสเอสอาร์อินฮิบิเตอร์ (SSRIs) หรือยาในกลุ่มเอสเอ็นอาร์อินฮิบิเตอร์ (SNRIs) โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นการรักษาหรือเมื่อเริ่มใช้หรือเพิ่มขนาดของยาเซโรโทเนอร์จิค (serotonergic medication)

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonurics) ควรตระหนักว่ายารูปแบบแตกตัวนั้นมีส่วนผสมของสารฟีนิลอะลานีน (phenylalanine)
  • ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาหรืออาหารเสริมใหม่อื่น ๆ
  • ผู้ป่วยควรทราบถึงความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงต่อหลอดเลือดหัวใจอย่างรุนแรงและควรรับการรักษาในทันทีหากเกิดอาการนั้นขึ้น
  • ผู้ป่วยที่อาการไม่ดีขึ้นจากการใช้ยาครั้งแรกไม่ควรใช้ยาครั้งที่สองโดยไม่ปรึกษากับแพทย์
  • ผู้ป่วยควรทราบถึงโอกาสในการเกิดอาการปวดศีรษะเนื่องจากการใช้ยาเกินขนาด
  • ยานี้อาจจะลดความสามารถในการตัดสินใจ การคิด หรือการขับขี่ ผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถหรือใช้เครื่องจักรจนกว่าจะทราบผลไม่พึงประสงค์ของยา
  • ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หากตั้งครรภ์ มีแผนที่จะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร

ขนาดยาไรซาทริปแทนสำหรับเด็ก

ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคไมเกรน

ใช้ยานี้ต่อเมื่อได้การรับวินิจฉัยว่าเป็นโรคไมเกรนแล้วเท่านั้น

ผู้ป่วยอายุ 6 ปีขึ้นไปและมีน้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.

  • ขนาดยาเริ่มต้น : 5 มก. รับประทานหนึ่งครั้ง

ผู้ป่วยอายุ 6 ปีขึ้นไปและมีน้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป

  • ขนาดยาเริ่มต้น : 10 มก. รับประทานหนึ่งครั้ง

ขนาดยาสูงสุด : 1 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

คำแนะนำ

  • ไม่ควรใช้ยานี้เพื่อรักษาโรคไมเกรนส่วนฐานกระโหลกศีรษะหรือแบบอัมพฤษกษ์ครึ่งซีกเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
  • ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยของการรักษาอาการไมเกรนกำเริบเฉลี่ย 4 ครั้งขึ้นไปภายใน 30 วัน
  • ยังไม่มีการพิสูจน์ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้ยามากกว่า 1 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

การใช้งาน

เพื่อรักษาโรคไมเกรนเฉียบพลันโดยมีหรือไม่มีสัญญาณเตือนในผู้ป่วยที่อายุ 6 ปีขึ้นไป

ข้อควรระวัง

ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 6 ปี

รูปแบบยา

ขนาดและรูปแบบของยามีดังนี้

  • ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
  • ยาเม็ดสำหรับรับประทานรูปแบบแตกตัว

กรณีฉุกเฉินหรือการใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติ ไม่ควรเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์

ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 04/06/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา