backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

มอกซิฟลอกซาซิน (Moxifloxacin)

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 12/05/2020

มอกซิฟลอกซาซิน (Moxifloxacin)

ข้อบ่งใช้

ยา มอกซิฟลอกซาซิน ใช้สำหรับ

ยา มอกซิฟลอกซาซิน (Moxifloxacin) ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ยานี้อยู่ในกลุ่มของยาปฏิชีวนะควิโนโลน (Quinolone) ทำงานโดยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย

ยาปฏิชีวนะนี้ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่ได้ผลกับการติดเชื้อไวรัส (เช่นโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่) การใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อไม่จำเป็นหรือใช้ยาเกินขนาด อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง

วิธีการใช้ยา มอกซิฟลอกซาซิน

รับประทานพร้อมกับหรือปราศจากอาหารตามที่แพทย์กำหนด โดยปกติคือวันละครั้ง ขนาดยาและระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษา ดื่มน้ำให้มากขณะที่ใช้ยานี้ เว้นเสียแต่แพทย์จะสั่งให้คุณทำแบบอื่น

รับประทานยาอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อน หรือ 8 ชั่วโมงหลังจากใช้ยาอื่นที่อาจจะมาจับกับยานี้แล้วลดประสิทธิภาพของยาได้ โปรดสอบถามเภสัชกรเกี่ยวกับยาอื่นที่คุณกำลังใช้ เช่น ยาควินาพริล (quinapril) ยาซูคราลเฟต (sucralfate) วิตามิน/แร่ธาตุ (รวมถึงอาหารเสริมธาตุเหล็กและสังกะสี) และผลิตภัณฑ์ที่มีแมกนีเซียม อะลูมิเนียม หรือแคลเซียม เช่น ยาลดกรด สารละลายไดดาโนซีน (didanosine solution) อาหารเสริมแคลเซียม

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรใช้ยานี้ โดยเว้นระยะเวลาให้เท่ากัน เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน

ใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะครบกำหนด แม้ว่าอาการจะหายไปภายในไม่กี่วัน การหยุดใช้ยาเร็วเกินไปอาจทำให้กลับมาติดเชื้ออีกครั้ง

โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่หายไปหรือแย่ลง

การเก็บรักษายามอกซิฟลอกซาซิน

ยามอกซิฟลอกซาซินควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยามอกซิฟลอกซาซินบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ไม่ควรทิ้งยามอกซิฟลอกซาซินลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูก สอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา มอกซิฟลอกซาซิน

ก่อนใช้ยา มอกซิฟลอกซาซิน แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือแพ้ต่อยาปฏิชีวนะควิโนโลนอื่นๆ เช่น ยาไซโปรฟลอกซาซิน (ciprofloxacin) ยาเลโวฟลอกซาซิน (levofloxacin) หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ (เช่น อาการหัวใจวายเมื่อไม่นานมานี้) ปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อ/เส้นเอ็น เช่น โรคเอ็นอักเสบ (tendonitis) โรคเบอร์ไซติส (bursitis) โรคตับ ความผิดปกติทางจิตใจหรืออารมณ์ (เช่น โรคซึมเศร้า) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอ็มจี (myasthenia gravis) ปัญหาเกี่ยวกับประสาท เช่น โรคปลายประสาทอักเสบ (peripheral neuropathy) อาการชัก สภาวะที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการชัก เช่น อาการบาดเจ็บที่สมองหรือศีรษะ เนื้องอกในสมอง หลอดเลือดในสมองแข็งตัว (cerebral atherosclerosis)

ยามอกซิฟลอกซาซินอาจทำให้เกิดสภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจ อย่างระยะคิวทียาว (QT prolongation) ในนานๆ ครั้งอาการระยะคิวทียาวนี้ อาจทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติที่รุนแรง (อาจถึงแก่ชีวิต) และอาการอื่นๆ (เช่นวิงเวียนอย่างรุนแรงหรือหมดสติ) และจำเป็นต้องรับการรักษาในทันที

ความเสี่ยงในการเกิดระยะคิวทียาวนั้น อาจเพิ่มขึ้นหากคุณมีสภาวะหรือใช้ยาที่อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้ ก่อนใช้นี้โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ และหากคุณมีสภาวะดังต่อไปนี้ ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจบางอย่าง เช่น หัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นช้า ระยะคิวทียาวใน การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (QT prolongation in the EKG) คนในครอบครัวเคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจบางอย่าง เช่น ระยะคิวทียาวในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือหัวใจตายฉับพลัน (sudden cardiac death)

ระดับของโพแทสเซียมหรือแมกนีเซียมในเลือดต่ำ ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดระยะคิวทียาวได้อีกด้วย ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากคุณกำลังใช้ยาบางอย่าง (เช่น ยาขับปัสสาวะ/ยาขับน้ำ) หรือหากคุณมีสภาวะ เช่น เหงื่อออกมาก ท้องร่วง หรืออาเจียน ปรึกษากับแพทย์ถึงวิธีการใช้ยานี้อย่างปลอดภัย

ในนานๆ ครั้ง ยานี้อาจเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะหากคุณเป็นโรคเบาหวาน ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำตามที่แพทย์กำหนด และแจ้งผลให้แพทย์ทราบ เฝ้าระวังอาการของระดับน้ำตาลในเลือดสูง เช่นกระหายน้ำมากขึ้นหรือปัสสาวะมากขึ้น และเฝ้าระวังอาการของระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น เหงื่อออกกะทันหัน สั่นเทา หัวใจเต้นเร็ว หิว มองเห็นไม่ชัด วิงเวียน หรือเป็นเหน็บที่มือ/เท้า

ควรพกน้ำตาลกลูโคสรูปแบบเม็ดหรือเจล เพื่อรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากคุณไม่มีน้ำตาลกลูโคสรูปแบบที่เชื่อถือได้นี้ อาจจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว โดยการรับประทานแหล่งน้ำตาล เช่น น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง ลูกอม หรือดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลมแบบธรรมดา แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีเกี่ยวกับปฏิกิริยาและการใช้ยานี้ เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คุณควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลาและไม่งดอาหาร แพทย์อาจจำเป็นต้องให้คุณเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะอื่นหรือปรับยาสำหรับโรคเบาหวานหากเกิดปฏิกิริยาใดๆ

ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกัญชานั้นอาจทำให้อาการวิงเวียนรุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวจนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปรึกษาแพทย์หากคุณใช้กัญชา

ยานี้อาจทำให้คุณมีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดดมากขึ้น ควรจำกัดเวลาอยู่ใต้แสงแดด หลีกเลี่ยงบูธอาบแดดและหลอดไฟอุลตร้าไวโอเลต ควรทาครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้าป้องกัน เมื่ออยู่นอกบ้าน โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณมีอาการแดดเผาหรือแผลพุพองหรือรอยแดงที่ผิวหนัง

ยามอกซิฟลอกซาซินอาจทำให้วันซีคแบคทีเรียเชื้อเป็น (เช่น วัคซีนไทรอยด์) ทำงานได้ไม่ดี อย่าสร้างภูมิคุ้มกันหรือรับวัคซีน เว้นเสียแต่ว่าแพทย์จะสั่งให้ทำเช่นนั้น

ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ)

เด็กอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อหรือเส้นเอ็น

ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า เช่น ปัญหาเกี่ยวกับเส้นเอ็น โดยเฉพาะหากกำลังใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) เช่น ยาเพรดนิโซน (prednisone) หรือยาไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) และภาวะระยะคิวทียาว (อ่านเพิ่มเติมด้านบน)

ในช่วงขณะการตั้งครรภ์ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น โปรดปรึกษาความเสี่ยงและประโยชน์กับแพทย์

ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ยานี้สามารถส่งผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้หรือไม่ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา

ยามอกซิฟลอกซาซินจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A= ไม่มีความเสี่ยง
  • B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C= อาจจะมีความเสี่ยง
  • D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X= ห้ามใช้
  • N= ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยา มอกซิฟลอกซาซิน

อาจจะเกิดอาการคลื่นไส้ ท้องร่วง วิงเวียน หน้ามืด ปวดหัว อ่อนแรง หรือนอนไม่หลับ หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้นโปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที

โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากคำนวณแล้วว่า ยามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ

แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้ มีรอยช้ำหรือเลือดออกผิดปกติ สัญญาณใหม่ของการติดเชื้อ (เช่น เป็นไข้ครั้งใหม่หรือเรื้อรัง เจ็บคอเรื้อรัง) สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไต (เช่น ปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง) สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ (เช่น เหนื่อยล้าผิดปกติ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียนเรื้อรัง ดวงตาหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง ปัสสาวะสีคล้ำ)

รับการรักษาในทันทีหากมีผลข้างเคียงที่รุนแรงมากดังต่อไปนี้ วิงเวียนอย่างรุนแรง หมดสติ หัวใจเต้นเร็วหรือรัว

ในนานๆ ครั้งยานี้อาจทำให้เกิดสภาวะลำไส้ที่รุนแรง เช่น อาการท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับคลอสทริเดียม ดิฟิซายล์ (Clostridium difficile-associated diarrhea) เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยาบางอย่าง สภาวะนี้สามารถเกิดได้ระหว่างการรักษาหรือเป็นสัปดาห์ จนถึงเดือนหลังจากหยุดการรักษา แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ท้องร่วงบ่อยครั้ง ปวดท้อง มีเลือดหรือเสมหะในอุจจาระ

อย่าใช้ยาแก้ท้องเสียหรือยาแก้ปวดแบบเสพติด (narcotic pain medications) หากเกิดอาการดังกล่าวเนื่องจากอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น

การใช้ยานี้เป็นเวลานานหรือใช้เป็นรอบซ้ำๆ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อราในช่องปากหรือการติดเชื้อยีสต์ ติดต่อแพทย์หากคุณสังเกตเห็นรอยสีขาวภายในปากหรือมีความเปลี่ยนแปลงของสารคัดหลั่งจากช่องคลอด

การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด

ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ ได้แก่ ยาเจือจางเลือด เช่น ยาอะซีโนคูมารอล (acenocoumarol) ยาวาฟาริน (warfarin) ยาสตรอนเทียม (strontium)

ยาจำนวนมากนอกเหนือจากยามอกซิฟลอกซาซินที่สามารถส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจได้ (ภาวะระยะคิวทียาว) ทั้งยาอะมิดาโรน (amiodarone) ยาโดฟีทิไลด์ (dofetilide) ยาโพรคาอินาไมด์ (procainamide) ยาควินิดีน (quinidine) ยาโซทาลอล (sotalol) ยาไซพราซิโดน (ziprasidone) และอื่นๆ

แม้ว่ายาปฏิชีวนะส่วนใหญ่มักจะไม่ส่งผลกระทบต่อการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน เช่น ยาคุม แผ่นคุมกำเนิด หรือห่วงคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะจำนวนหนึ่ง เช่น ยาไรแฟมพิน (rifampin) หรือยาไรฟาบูติน (rifabutin) อาจลดประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดได้ และส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์ หากคุณกำลังคุมกำเนิดด้วยการใช้ฮอร์โมน โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ยามอกซิฟลอกซาซินอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยามอกซิฟลอกซาซิน อาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยามอกซิฟลอกซาซินอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยา มอกซิฟลอกซาซิน สำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคปอดบวม (Pneumonia)

400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 7-14 วัน

คำแนะนำ

  • เชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนียที่ดื้อต่อยาหลายชนิด (MDRSP) นั้น เปฺ็นสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาต้านเชื้อแบคทีเรียอย่างน้อย 2 ชนิดดังต่อไปนี้ ยาเพนิซิลลิน (penicillin) ค่าความเข้มข้นของยาในระดับต่ำสุด (MIC) อย่างน้อย 2 ไมโครกรัม/มล. ยาเซฟาโลสปอริน (cephalosporins) รุ่นที่สอง เช่นยาเซฟูรอกซิม (cefuroxime) ยาแมคโครไลด์ (macrolides) ยาเตตราไซคลีน (tetracyclines) และยาซัลฟาเมทอกซาโซล-ไตรเมโทพริม (sulfamethoxazole-trimethoprim)

การใช้งาน

เพื่อรักษาโรคปอดบวมในชุมชน เนื่องจากเชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนียที่มีปฏิกิริยาไวต่อยา (รวมถึงเชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนียที่ดื้อต่อยาหลายชนิด) เชื้อฮีโมฟิลัส อินฟลูเอ็นซาอี (Haemophilus influenzae) เชื้อมอราเซลลา คาทาร์ฮาลิส (Moraxella catarrhalis) เชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาเมทิซิลลิน (methicillin-susceptible Staphylococcus aureus) เชื้อเคล็บซีเอลลา นิวโมเนีย (Klebsiella pneumoniae) เชื้อไมโคพลาสมา นิวโมเนีย (Mycoplasma pneumoniae) หรือเชื้อคลามัยโดฟิลา นิวโมเนีย (Chlamydophila pneumoniae)

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่ออ่อน

400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง

ระยะเวลาการรักษา

  • การติดเชื้อที่ซับซ้อน 7-21 วัน
  • การติดเชื้อที่ไม่ซับซ้อน 7 วัน

การใช้งาน

เพื่อรักษาการติดเชื้ออย่างซับซ้อนที่บริเวณผิวหนังและโครงสร้างผิวเนื่องจากเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาเมทิซิลลิน เชื้อเอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia coli) เชื้อเชื้อเคล็บซีเอลลา นิวโมเนีย หรือเชื้อเอนเทอโรแบคเตอร์ โคลเอเซ (Enterobacter cloacae) เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ไม่ซับซ้อนที่บริเวณผิวหนังและโครงสร้างผิวเนื่องจากเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาเมทิซิลลิน หรือเชื้อสเตรปโตค็อกคัส ไพโอจีนัส (S pyogenes)

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังและโครงสร้างผิว

400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง

ระยะเวลาการรักษา

  • การติดเชื้อที่ซับซ้อน 7-21 วัน
  • การติดเชื้อที่ไม่ซับซ้อน 7 วัน

การใช้งาน

เพื่อรักษาการติดเชื้ออย่างซับซ้อนที่บริเวณผิวหนังและโครงสร้างผิวเนื่องจากเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาเมทิซิลลิน เชื้อเอสเชอริเชีย โคไล เชื้อเชื้อเคล็บซีเอลลา นิวโมเนีย หรือเชื้อเอนเทอโรแบคเตอร์ โคลเอเซ เพื่อรักษาการติดเชื้อที่ไม่ซับซ้อนที่บริเวณผิวหนังและโครงสร้างผิวเนื่องจากเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาเมทิซิลลิน หรือเชื้อสเตรปโตค็อกคัส ไพโอจีนัส

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อภายในช่องท้อง

400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5-14 วัน

เพื่อรักษาการติดเชื้อในช่องท้องที่ซับซ้อน รวมถึงการติดเชื้อจากเชื้อหลายชนิด (เช่นฝี) เนื่องจากเชื้อเอสเชอริเชีย โคไล เชื้อแบคเทอร์รอยด์ ฟราจิลิส (Bacteroides fragilis) เชื้อสเตรปโตค็อกคัส แองจีโนซัส (S anginosus) เชื้อสเตรปโตค็อกคัส คอนสเทลลาทัส (S constellatus) เชื้อเอ็นเทโรค็อกคัส เฟคาลิส (Enterococcus faecalis) เชื้อโพรทีอุส มิราบิลิส (Proteus mirabilis) เชื้อคลอสทริเดียม เพอร์ฟินจินส์ (Clostridium perfringens) เชื้อแบคเทอร์รอยด์ เทไทโอทาโอไมครอน (B thetaiotaomicron) หรือเชื้อพันธุ์เพปโทสเตรปโตค็อกคัส (Peptostreptococcus)

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษากาฬโรค (Plague)

400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุก ๆ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 10-14 วัน

คำแนะนำ

  • ควรเริ่มต้นการรักษาให้เร็วที่สุดหลังจากต้องสงสัย/ยืนยันแล้วว่าเปิดรับเชื้อกาฬโรคหรือเชื้อเยอซิเนีย เพสติส (Yersinia pestis)
  • ยังไม่มีการศึกษาประสิทธิภาพในคนที่เป็นกาฬโรคเนื่องจากเหตุผลด้านจริยธรรมและความเป็นไปได้ ข้อบ่งชี้นี้ขึ้นอยู่กับการศึกษาประสิทธิภาพในสัตว์เท่านั้น

การใช้งาน

เพื่อรักษากาฬโลก ทั้งกาฬโรคปอด (pneumonic) และกาฬโรคแบบโลหิตเป็นพิษ (septicemic plague) เนื่องจากเชื้อเยอซิเนีย เพสติส เพื่อการป้องกันกาฬโลก

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อป้องกันกาฬโรค

400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุก ๆ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 10-14 วัน

คำแนะนำ

  • ควรเริ่มต้นการรักษาให้เร็วที่สุดหลังจากต้องสงสัย/ยืนยันแล้วว่าเปิดรับเชื้อกาฬโลกหรือเชื้อเยอซิเนีย เพสติส
  • ยังไม่มีการศึกษาประสิทธิภาพในคนที่เป็นกาฬโลกเนื่องจากเหตุผลด้านจริยธรรมและความเป็นไปได้ ข้อบ่งชี้นี้ขึ้นอยู่กับการศึกษาประสิทธิภาพในสัตว์เท่านั้น

การใช้งาน

เพื่อรักษากาฬโลก ทั้งกาฬโรคปอดและกาฬโรคแบบโลหิตเป็นพิษ เนื่องจากเชื้อเยอซิเนีย เพสติส เพื่อการป้องกันกาฬโลก

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis)

400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุก ๆ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 10 วัน

คำแนะนำ

  • เนื่องจากยาฟลูออโรควิโนโลน (รวมถึงยานี้) มีความเกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่รุนแรงและโรคไซนัสอักเสบชนิดเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (ABS) นั้นเป็นข้อจำกัดในตัวเองสำหรับผู้ป่วยบางราย ยานี้ควรจะเก็บไว้ใช้เพื่อรักษาโรคไซนัสอักเสบชนิดเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในผู้ป่วยที่ไม่มีทางเลือกอื่นในการรักษาเท่านั้น

การใช้งาน

เพื่อรักษาโรคไซนัสอักเสบชนิดเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเนื่องจากเชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนีย เชื้อฮีโมฟิลัส อินฟลูเอ็นซาอี หรือเชื้อมอแรกเซลลา คาทาร์ฮาลิส

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis)

400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุก ๆ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วัน

คำแนะนำ

  • เนื่องจากยาฟลูออโรควิโนโลน (รวมถึงยานี้) มีความเกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่รุนแรงและอาการกำเริบเฉียบพลันเกิดจากเชื้อแบคทีเรียของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (ABECB) นั้นเป็นข้อจำกัดในตัวเองสำหรับผู้ป่วยบางราย ยานี้ควรจะเก็บไว้ใช้เพื่อรักษาอาการกำเริบเฉียบพลันเกิดจากเชื้อแบคทีเรียของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังในผู้ป่วยที่ไม่มีทางเลือกอื่นในการรักษาเท่านั้น

การใช้งาน

เพื่อรักษาอาการกำเริบเฉียบพลันเกิดจากเชื้อแบคทีเรียของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังเนื่องจากเชื้อเสตร็ปโทโคคัส นิวโมเนีย เชื้อฮีโมฟิลัส อินฟลูเอ็นซาอี เชื้อฮีโมฟิลัส พาราอินฟลูเอ็นซา (H parainfluenzae) เชื้อเคล็บซีเอลลา นิวโมเนีย เชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียสที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาเมทิซิลลิน หรือเชื้อมอแรกเซลลา คาทาร์ฮาลิส

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อแบซิลลัส แอนทราซิสที่ทางเดินหายใจ (Inhalation Bacillus anthracis)

คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา (US CDC) 400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง

ระยะเวลาการรักษา

การป้องกันหลังจากการติดเชื้อสำหรับการติดเชื้อแบซิลลัส แอนทราซิส (B anthracis) 60 วัน

โรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกาย

  • สำหรับผู้ที่มีโอกาสหรือยืนยันว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ หรือจนกว่าอาการของผู้ป่วยจะคงตัว (ขึ้นอยู่กับว่าอย่างไรนานกว่ากัน)
  • สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าอาการของผู้ป่วยจะคงตัว (ขึ้นอยู่กับว่าอย่างไรนานกว่ากัน)
  • ผู้ป่วยที่เปิดรับละอองสปอร์ของเชื้อจะต้องทำการป้องกันให้ยาต้านจุลชีพจนครบ 60 วันตั้งแต่เริ่มมีอาการป่วย

โรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด

  • กรณีที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายทางชีวภาพ (Bioterrorism) 60 วัน
  • กรณีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ 7-10 วัน

คำแนะนำ

  • ควรใช้ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์
  • แนะนำให้ใช้เป็นยาแบบรับประทานอีกทางเลือกสำหรับการป้องกันหลังจากการเปิดรับเชื้อและยาแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำสำหรับการรักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกาย
  • แนะนำให้ใช้เป็นยาแบบรับประทานสำหรับการรักษาโรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด
  • แนะนำให้ใช้สำหรับการรักษาเชื้อทุกสายพันธุ์ (โดยไม่ต้องคำถึงถึงความมีปฏิกิริยาไวต่อยาเพนิซิลลินหรือไม่ทราบความมีปฏิกิริยาไว) เมื่อใช้เพื่อการป้องกันหลังจากเปิดรับเชื้อ รักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายที่ไม่ใช่โรคเยื่อหุ้มสมอง หรือโรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด
  • แนะนำให้ใช้ร่วมกับสารยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน (protein synthesis inhibitor) เพื่อรักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกาย แนะนำให้เพิ่มยาปฏิชีวนะเบต้าแลคแทม (bactericidal beta-lactam) หากมีโอกาสหรือยืนยันแล้วว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • โรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายนั้นรวมถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคแอนแทรกซ์ที่ทางเดินหายใจ โรคแอนแทรกซ์จากการฉีด โรคแอนแทรกซ์ในระบบทางเดินอาหาร โรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด อาการบวมอย่างรุนแรง หรือแผลที่หัวหรือคอ
  • ควรศึกษาแนวทางในปัจจุบันเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อแบซิลลัส แอนทราซิสที่ผิวหนัง (Cutaneous Bacillus anthracis)

คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา 400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง

ระยะเวลาการรักษา

การป้องกันหลังจากการติดเชื้อสำหรับการติดเชื้อแบซิลลัส แอนทราซิส (B anthracis) 60 วัน

โรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกาย

  • สำหรับผู้ที่มีโอกาสหรือยืนยันว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ หรือจนกว่าอาการของผู้ป่วยจะคงตัว (ขึ้นอยู่กับว่าอย่างไรนานกว่ากัน)
  • สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าอาการของผู้ป่วยจะคงตัว (ขึ้นอยู่กับว่าอย่างไรนานกว่ากัน)
  • ผู้ป่วยที่เปิดรับละอองสปอร์ของเชื้อจะต้องทำการป้องกันให้ยาต้านจุลชีพจนครบ 60 วันตั้งแต่เริ่มมีอาการป่วย

โรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด

  • กรณีที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายทางชีวภาพ 60 วัน
  • กรณีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ 7-10 วัน

คำแนะนำ

  • ควรใช้ไซโปรฟลอกซาซิน สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์
  • แนะนำให้ใช้เป็นยาแบบรับประทานอีกทางเลือกสำหรับการป้องกันหลังจากการเปิดรับเชื้อและยาแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำสำหรับการรักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกาย
  • แนะนำให้ใช้เป็นยาแบบรับประทานสำหรับการรักษาโรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด
  • แนะนำให้ใช้สำหรับการรักษาเชื้อทุกสายพันธุ์ (โดยไม่ต้องคำถึงถึงความมีปฏิกิริยาไวต่อยาเพนิซิลลินหรือไม่ทราบความมีปฏิกิริยาไว) เมื่อใช้เพื่อการป้องกันหลังจากเปิดรับเชื้อ รักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายที่ไม่ใช่โรคเยื่อหุ้มสมอง หรือโรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด
  • แนะนำให้ใช้ร่วมกับสารยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อรักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกาย แนะนำให้เพิ่มยาปฏิชีวนะเบต้าแลคแทมหากมีโอกาสหรือยืนยันแล้วว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • โรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายนั้นรวมถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคแอนแทรกซ์ที่ทางเดินหายใจ โรคแอนแทรกซ์จากการฉีด โรคแอนแทรกซ์ในระบบทางเดินอาหาร โรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด อาการบวมอย่างรุนแรง หรือแผลที่หัวหรือคอ
  • ควรศึกษาแนวทางในปัจจุบันเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อป้องกันโรคแอนแทรกซ์

คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา 400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง

ระยะเวลาการรักษา

การป้องกันหลังจากการติดเชื้อสำหรับการติดเชื้อแบซิลลัส แอนทราซิส (B anthracis) 60 วัน

โรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกาย

  • สำหรับผู้ที่มีโอกาสหรือยืนยันว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ หรือจนกว่าอาการของผู้ป่วยจะคงตัว (ขึ้นอยู่กับว่าอย่างไรนานกว่ากัน)
  • สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าอาการของผู้ป่วยจะคงตัว (ขึ้นอยู่กับว่าอย่างไรนานกว่ากัน)
  • ผู้ป่วยที่เปิดรับละอองสปอร์ของเชื้อจะต้องทำการป้องกันให้ยาต้านจุลชีพจนครบ 60 วันตั้งแต่เริ่มมีอาการป่วย

โรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด

  • กรณีที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายทางชีวภาพ 60 วัน
  • กรณีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ 7-10 วัน

คำแนะนำ

  • ควรใช้ไซโปรฟลอกซาซิน สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์
  • แนะนำให้ใช้เป็นยาแบบรับประทานอีกทางเลือกสำหรับการป้องกันหลังจากการเปิดรับเชื้อและยาแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำสำหรับการรักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกาย
  • แนะนำให้ใช้เป็นยาแบบรับประทานสำหรับการรักษาโรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด
  • แนะนำให้ใช้สำหรับการรักษาเชื้อทุกสายพันธุ์ (โดยไม่ต้องคำถึงถึงความมีปฏิกิริยาไวต่อยาเพนิซิลลินหรือไม่ทราบความมีปฏิกิริยาไว) เมื่อใช้เพื่อการป้องกันหลังจากเปิดรับเชื้อ รักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายที่ไม่ใช่โรคเยื่อหุ้มสมอง หรือโรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด
  • แนะนำให้ใช้ร่วมกับสารยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อรักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกาย แนะนำให้เพิ่มยาปฏิชีวนะเบต้าแลคแทมหากมีโอกาสหรือยืนยันแล้วว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • โรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายนั้นรวมถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคแอนแทรกซ์ที่ทางเดินหายใจ โรคแอนแทรกซ์จากการฉีด โรคแอนแทรกซ์ในระบบทางเดินอาหาร โรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด อาการบวมอย่างรุนแรง หรือแผลที่หัวหรือคอ
  • ควรศึกษาแนวทางในปัจจุบันเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาวัณโรค (Tuberculosis) มีอาการ

คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา สมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) และสมาคมทรวงอกแห่งสหรัฐอเมริกา (American Thoracic Society) 400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำวันละครั้ง

คำแนะนำ

  • แนะนำให้ใช้เป็นยาสำรอง
  • ยังไม่มีการพิสูจน์ระยะเวลาการรักษาที่ดีที่สุด
  • องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ทำการทดสอบความมีปฏิกิริยาไวและปรับสูตรการใช้ยาสำรองโดยขึ้นอยู่กับผลการทดสอบ หากมีผลการทดสอบและยาสำรอง
  • ควรศึกษาแนวทางในปัจจุบันเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อการป้องกันระหว่างการผ่าตัด

คำแนะนำจากองค์กรเภสัชแห่งสหรัฐอเมริกา (ASHP) สมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา สมาคมการติดเชื้อจากการผ่าตัด (SIS) และสมาคมการดูแลสุขภาพระบาดวิทยาแห่งอเมริกา (SHEA)

ขนาดยาก่อนการผ่าตัด 400 มก. รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำหนึ่งครั้ง เริ่มให้ภายใน 120 นาทีก่อนการผ่าตัด

คำแนะนำ

  • แนะนำให้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของสูตรยาทางเลือกสำหรับการป้องกันระหว่างการผ่าตัดสำหรับ การผ่าตัดมดลูกที่ช่องคลอดหรือช่องท้อง (hysterectomy) แนะนำให้ใช้ร่วมกับยาอื่น
  • โดยปกติการใช้ยานี้เพื่อป้องกันโรคเพียงหนึ่งครั้งก็เพียงพอแล้ว หากยังคงทำการป้องกันหลังจากการผ่าตัด ระยะเวลาไม่ควรเกิน 24 ชั่วโมง
  • ก่อนใช้ยา ควรประเมินความมีปฏิกิริยาไวในชุมชนเนื่องจากความเพิ่มขึ้นของเชื้ออีโคไลที่ดื้อต่อยาฟลูออโรควิโนโลน
  • ควรศึกษาแนวทางในปัจจุบันเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

การปรับขนาดยาสำหรับไต

ไม่มีการปรับขนาดยาที่แนะนำ

การปรับขนาดยาสำหรับตับ

ไม่มีการปรับขนาดยาที่แนะนำ ควรใช้ยาด้วยความระมัดระวัง

การฟอกไต (Dialysis)

การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) และการฟอกไตผ่านทางช่องท้อง (CAPD) ไม่มีการปรับขนาดยาที่แนะนำ

คำแนะนำอื่นๆ

คำแนะนำการใช้ยา

  • ใช้ยาโดยการหยอดยาเข้าหลอดเลือดดำเท่านั้น ห้ามฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เข้าหลอดเลือดแดง เข้าช่องท้อง หรือเข้าใต้ผิวหนัง
  • หยอดให้ยาโดยตรงหรือผ่านทางชุดหยอดยาประเภท Y นานกว่า 60 นาที ควรหลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้าอย่างรวดเร็ว
  • สามารถรับประทานยาได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงอาหาร
  • อาจเปลี่ยนแปลงการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำมาเป็นการรับประทานยาเมื่อแพทย์ได้พิจารณาแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยา
  • หากใช้สายยางหรือสายประเภท Y สายเดิมสำหรับยาอื่นหลังจากนั้นหรือหากใช้วิธีซ้อนถุง (piggyback) ควรล้างสายยางก่อนและหลังจากใช้ยานี้โดยใช้สารละลายที่มีความเข้ากันได้กับยาที่ให้ทั้งหมด
  • รับประทานยาอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อน หรือ 8 ชั่วโมงหลังจากรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีธาตุเหล็ก สังกะสี อะลูมินเนียม หรือแมกนีเซียม เช่น ยาลดกรด ยาซูคราลเฟต (sucralfate) อาหารเสริมแร่ธาตุหรือวิตามินรวม ยาไดดาโนซีนที่มีสารบัฟเฟอร์ (buffered didanosine)

การเก็บรักษา

  • เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 20-25 เซลเซียส (68-77 ฟาเรนไฮต์) อุณหภูมิที่อนุญาตช่วงเดินทางคือ 15-30 เซลเซียส (59-86 ฟาเรนไฮต์)
  • สารละลายสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ อย่าเก็บไว้ในตู้เย็น (ยาจะตกตะกอน)
  • ยาเม็ดสำหรับรับประทาน หลีกเลี่ยงความชื้นสูง

เทคนิคการคืนรูปหรือการเตรียมยา

  • ควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต

ความเข้ากันของยาสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ

  • สารละลายสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำที่เข้ากันได้ (ที่อัตรา 1:10 ถึง 10:1) น้ำกลั่นสำหรับฉีด (USP) โซเดียมคลอไรด์สำหรับฉีด 0.9% เภสัชตำหรับอเมริกา 1 โมลาร์ โซเดียมคลอไรด์สำหรับฉีด (Molar Sodium Chloride Injection) เด็กโทรส 10% (USP) เด็กโทรส 5% สำหรับฉีด (USP) แลคเตทริงเกอร์ (Lactated Ringers) สำหรับฉีด
  • มีข้อมูลจำกัดในเรื่องของความเข้ากันกับผลิตภัณฑ์สำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำอื่นๆ ไม่ควรเพิ่มสารเติมแต่งหรือยาอื่นๆ เข้าในในยานี้หรือให้ยาพร้อมกันในสายยางเดียวกัน

ทั่วไป

  • ควรพิจารณาการเพาะเชื้อและข้อมูลความมีปฏิกิริยาไวเมื่อเลือกหรือปรับยาต้านเชื้อแบคทีเรีย หรือหากไม่มีข้อมูลอาจพิจารณาข้อมูลขระบาทวิทยาในชุมชนและรูปแบบความมีปฏิกิริยาไวเมื่อเลือกการรักษาแบบครอบคลุมเชื้ออย่างกว้าง (empiric therapy)
  • แนะนำให้ใช้วิธีการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำเมื่อวิธีนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วย(เช่นไม่สามารถใช้ยาแบบรับประทานได้)
  • ยาอะเวลอกซ์ (Avelox) และยามอกซิฟลอกซาซินรูปแบบฉีดนั้นมีโซเดียมประมาณ 34.2 และ 52.5 มิลลิอิควิวาเลนท์ (787 และ 1207 มก.) ภายยใน 250 มล. ตามลำดับ

การเฝ้าระวัง

  • หัวใจและหลอดเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง
  • เลือด ตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

  • ควรอ่านคู่มือการใช้ยาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแ่งสหรัฐอเมริกา
  • ดื่มน้ำให้มาก
  • หลีกเลี่ยงการลืมใช้ยาและใช้ยาจนครบกำหนด
  • หยุดใช้ยาและติดต่อแพทย์ในทันทีหากมีผลข้างเคียงที่รุนแรงเกิดขึ้น
  • หยุดใช้ยานี้และติดต่อแพทย์หากเส้นเอ็นมีอาการปวด อาการบวม หรืออาการอักเสบ หรือหากคุณมีอาการอ่อนแรงหรือไม่สามารถใช้ข้อใดข้อหนึ่งของคุณได้ ควรพักผ่อนและอย่าออกกำลังกาย
  • หยุดใช้ยานี้ในทันทีและติดต่อแพทย์หากมีอาการของภาวะปลายประสาทอักเสบ
  • โปรดติดต่อแพทย์หากมีอาการปวดหัวเรื้อรัง (โดยมีหรือไม่มีอาการมองเห็นไม่ชัด) อาการใดๆ ของอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง (รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ) หรือระยะคิวทียาว (QT interval prolongation) (รวมถึงอาการใจสั่นเป็นเวลานานหมดสติ) สัญญาณ/อาการของการบาดเจ็บที่ตับ หรืออุจจาระเป็นน้ำและเป็นเลือด
  • หยุดใช้ยานี้เมื่อเริ่มมีสัญญาณของอาการผดผื่นที่ผิวหนัง ลมพิษ หรือปฏิกิริยาของผิวหนังอื่นๆ หัวใจเต้นเร็ว ปัญหาเกี่ยวกับการกลืนหรือการหายใจ อาการบวม ที่อาจแสดงถึงอาการบวมใต้ชั้นผิวหนัง (angioedema) หรืออาการแพ้อื่นๆ
  • อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวจนกว่าคุณจะทราบว่ายาส่งผลต่อคุณอย่างไร
  • หลีกเลี่ยงหรือลดการเปิดรับกับแสงแดดตามธรรมชาติหรือแสงแดดเทียมระหว่าที่รับการรักษา ควรป้องกันตัวจากแสงแดด (เช่นสวมเสื้อผ้าป้องกันหรือทาครีมกันแดด) หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรติดต่อแพทย์หากมีอาการคล้ายถูกแดดเผาหรือมีอาการปะทุที่ผิวหนัง

ขนาดยามอกซิฟลอกซาซินสำหรับเด็ก

ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาการติดเชื้อแบซิลลัส แอนทราซิสที่ทางเดินหายใจ

คำแนะนำจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics)

จนถึงอายุ 4 สัปดาห์

  • อายุครรภ์ 32-37 สัปดาห์ 5 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง
  • ทารกแรกเกิดครบกำหนด 10 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง

อายุ 3 เดือน-11 ปี

  • อายุ 3 เดือน จนถึงน้อยกว่า 2 ปี 6 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
  • อายุ 2-5 ปี 5 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
  • อายุ 6-11 ปี 4 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
  • ขนาดยาสูงสุด 200 มก./ครั้ง

อายุ 12 ปีขึ้นไป

  • น้ำหนักน้อยกว่า 45 กก. 4 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
  • ขนาดยาสูงสุด 200 มก./ครั้ง
  • น้ำหนักอย่างน้อย 45 กก. 400 มก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำหนึ่งครั้ง

ระยะเวลาการรักษา อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ ควรใช้ยาต่อไปจนกว่าผู้ป่วยจะอาการคงตัว

ผู้ป่วยจะต้องทำการป้องกันโดยใช้ยาอื่นเพื่อให้ยาต้านจุลชีพสมบูรณ์ภายในภายใน 60 วันตั้งแต่เริ่มมีอาการป่วย

คำแนะนำ

  • ขนาดยาสำหรับทารกแรกเกิดใช้แค่เป็นแนวทางสำหรับเหตุการณ์อาวุธชีวภาพฉุกเฉินเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับข้อความหรือข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์ ที่คาดจากเด็กที่อายุมากกว่า)
  • แนะนำสำหรับเป็นยารูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำทางเลือกเพื่อรักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายหรือโรคแอนแทรกซ์ระดับรุนแรง เช่น โรคแอนแทรกซ์เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือโรคระบาดและไม่สามารถคัดกรองโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบออกไปได้
  • แนะนำให้ใช้ร่วมกับสารยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน รวมกับยาปฏิชีวนะกลุ่มเบต้าแลคแทม (สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ได้ทุกราย) หรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียไกลโคเปปไทด์ (ผู้ป่วยอายุ 3 เดือนขึ้นไป)
  • โรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายหรือโรคแอนแทรกซ์ระดับรุนแรงนั้น มีทั้งโรคแอนแทรกซ์เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคแอนแทรกซ์ที่ทางเดินหายใจ โรคแอนแทรกซ์จากการฉีด โรคแอนแทรกซ์ในระบบทางเดินอาหาร โรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด อาการบวมอย่างรุนแรง หรือแผลที่หัวหรือคอ
  • ควรศึกษาแนวทางในปัจจุบันเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาการติดเชื้อแบซิลลัส แอนทราซิสที่ผิวหนัง

คำแนะนำจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics)

จนถึงอายุ 4 สัปดาห์

  • อายุครรภ์ 32-37 สัปดาห์ 5 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง
  • ทารกแรกเกิดครบกำหนด 10 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 24 ชั่วโมง

อายุ 3 เดือน-11 ปี

  • อายุ 3 เดือน จนถึงน้อยกว่า 2 ปี 6 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
  • อายุ 2-5 ปี 5 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
  • อายุ 6-11 ปี 4 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
  • ขนาดยาสูงสุด 200 มก./ครั้ง

อายุ 12 ปีขึ้นไป

  • น้ำหนักน้อยกว่า 45 กก. 4 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 12 ชั่วโมง
  • ขนาดยาสูงสุด 200 มก./ครั้ง
  • น้ำหนักอย่างน้อย 45 กก. 400 มก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำหนึ่งครั้ง

ระยะเวลาการรักษา อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ ควรใช้ยาต่อไปจนกว่าผู้ป่วยจะอาการคงตัว

ผู้ป่วยจะต้องทำการป้องกันโดยใช้ยาอื่นเพื่อให้ยาต้านจุลชีพสมบูรณ์ภายในภายใน 60 วันตั้งแต่เริ่มมีอาการป่วย

คำแนะนำ

  • ขนาดยาสำหรับทารกแรกเกิดใช้แค่เป็นแนวทางสำหรับเหตุการณ์อาวุธชีวภาพฉุกเฉินเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับข้อความหรือข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์ ที่คาดจากเด็กที่อายุมากกว่า)
  • แนะนำสำหรับเป็นยารูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำทางเลือกเพื่อรักษาโรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายหรือโรคแอนแทรกซ์ระดับรุนแรง เช่นโรคแอนแทรกซ์เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือโรคระบาดและไม่สามารถคัดกรองโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบออกไปได้
  • แนะนำให้ใช้ร่วมกับสารยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน รวมกับยาปฏิชีวนะกลุ่มเบต้าแลคแทม (สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ได้ทุกราย) หรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียไกลโคเปปไทด์ (ผู้ป่วยอายุ 3 เดือนขึ้นไป)
  • โรคแอนแทรกซ์ทั่วร่างกายหรือโรคแอนแทรกซ์ระดับรุนแรงนั้นมีทั้ง โรคแอนแทรกซ์เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคแอนแทรกซ์ที่ทางเดินหายใจ โรคแอนแทรกซ์จากการฉีด โรคแอนแทรกซ์ในระบบทางเดินอาหาร โรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนังที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายทั้งหมด อาการบวมอย่างรุนแรง หรือแผลที่หัวหรือคอ
  • ควรศึกษาแนวทางในปัจจุบันเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

รูปแบบของยา

ขนาดและรูปแบบของยามีดังนี้

  • ยาเม็ด
  • สารละลายสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ

กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 12/05/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา