backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

Acetaminophen ข้อบ่งใช้ ผลข้างเคียง และข้อควรระวัง

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย ฤทธิศักดิ์ วงศ์วุฒิพงษ์ · แก้ไขล่าสุด 06/11/2023

Acetaminophen ข้อบ่งใช้ ผลข้างเคียง และข้อควรระวัง

Acetaminophen (อะเซตามิโนเฟน) เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ ยาพาราเซตามอล เป็นยาที่ใช้เพื่อลดไข้ รวมถึงบรรเทาอาการปวดต่าง ๆ เช่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ยานี้นับเป็นหนึ่งในยาสามัญประจำบ้านที่ควรมี อีกทั้งยังสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อทั่วไปอีกด้วย

ข้อบ่งใช้

Acetaminophen ใช้สำหรับ

Acetaminophen หรือที่รู้จักกันว่า ยาพาราเซตามอล (paracetamol) คือ ยาแก้ปวดและลดไข้ ใช้สำหรับอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ ปวดหลัง ปวดฟัน อาการหวัดและไข้

นอกจากนี้ ยาอะเซตามิโนเฟน ยังอาจใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น ที่ไม่ได้ระบุในคำแนะนำนี้

วิธีการใช้ Acetaminophen

ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยาเกินขนาด หรือน้อยกว่าที่กำหนด หรือเป็นเวลานานกว่าที่แพทย์แนะนำ การใช้ยาเกินขนาดอาจเกิดอันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

หากเป็นยาน้ำ ควรตวงยาด้วยกระบอกฉีดยาหรือช้อนหรือถ้วยตวงเฉพาะ หากไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ ควรขอจากเภสัชกร

หากคุณใช้ยานี้กับเด็ก ควรใช้ขนาดที่รูปแบบของยาที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ใช้ที่หยอดหรือกระบอกฉีดยาที่มาพร้อมกับตัวยาเท่านั้น ใช้ปริมาณยาตามที่ระบุในตามเอกสารกำกับยาอย่างเคร่งครัด

ยาอะเซตามิโนเฟนสำหรับทารกมี 2 ชนิด โดยแต่ละชนิดมาพร้อมกับอุปกรณ์ตวงยาที่แตกต่างกัน อย่าใช้อุปกรณ์ตวงยาผิดประเภทเพราะจะทำให้เด็กได้รับยาเกินขนาดได้

  • ควรเขย่าก่อนการใช้ยา และทำตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์
  • ควรเคี้ยวยาเม็ดชนิดเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน
  • ควรหยิบยาเม็ดขณะมือแห้ง วางยาไว้บริเวณลิ้นรอให้ยาค่อยๆละลาย ไม่ควรกลืนยาทั้งเม็ด รอให้ค่อยๆละลายโดยไม่ต้องเคี้ยว

การใช้ยาอะเซตามิโนเฟนแบบแกรนูลผงฟู่ ละลายผงยาในน้ำอย่างน้อย 4 ออนซ์ คนให้เข้ากันและดื่มทันที ควรดื่มให้หมด หากมียาเหลือในแก้ว เทน้ำเพิ่มเล็กน้อยเพื่อให้ยาละลายและดื่มทันที

การเก็บรักษายา อะเซตามิโนเฟน

ควรเก็บรักษายาอะเซตามิโนเฟนในอุณหภูมิห้อง รวมถึงเก็บให้พ้นจากแสงและความชื้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับยา คุณไม่ควรเก็บไว้ในห้องน้ำหรือตู้เย็น ยาอะเซตามิโนเฟนแต่ละยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บแตกต่างกันไป สิ่งสำคัญ คือ การอ่านคำแนะนำการเก็บรักษายาบนบรรจุภัณฑ์ หรือสอบถามเภสัชกรเพื่อความปลอดภัย คุณควรเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

คุณไม่ควรทิ้งยายาอะเซตามิโนเฟนลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่คุณได้รับคำแนะนำให้ทำอย่างนั้น สิ่งสำคัญคือทิ้งยาเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่จำเป็นต้องรับประทานอีกต่อไป ปรึกษาเภสัชกรเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีทิ้งยาอย่างปลอดภัย

ข้อควรระวังและคำเตือน

สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ Acetaminophen

ก่อนการใช้ยา ควรแจ้งแพทย์ในกรณีดังต่อไปนี้

  • คุณกำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากขณะที่คุณตั้งครรภ์หรือให้นมลูก คุณควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์
  • หากคุณกำลังใช้ยาชนิดอื่น รวมถึงยาที่คุณซื้อโดยไม่มีใบสั่งยา เช่น สมุนไพร และการรักษาโดยแพทย์ทางเลือก
  • หากคุณมีอาการแพ้ต่อส่วนประกอบของยานี้และยาชนิดอื่น ทั้งสารออกฤทธิ์และไม่ออกฤทธิ์
  • หากคุณมีอาการป่วย หรือมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ

การใช้ยาเกินขนาดอาจส่งผลเสียต่อตับ และอาจรุนแรงถึงชีวิต รีบพบแพทย์ หากเกิดอาการคลื่นไส้ ปวดบริเวณท้องส่วนบน คัน เบื่ออาหาร ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีโคลน หรือตาหรือผิวเหลือง

ไม่ควรใช้ยานี้โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หากคุณเคยเป็นโรคตับแข็ง หรือดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออันตรายที่เกิดกับตับขณะใช้ยาอะเซตามิโนเฟน

หยุดใช้ยาทันทีและพบแพทย์หากเกิดอาการดังนี้

  • ยังมีไข้อยู่หลังจากใช้ยา 3 วัน
  • ยังมีอาการปวดอยู่หลังจากใช้ยา 7 วัน (หรือ 5 วันหลังจากใช้ยากับเด็ก)
  • หากคุณมีอาการผื่นผิวหนัง ปวดหัวเรื้อรัง เกิดอาการแดงหรือบวม
  • หากคุณมีอาการแย่ลงหรือเกิดอาการใหม่

การใช้ยาอาจส่งผลต่อผลการตรวจหาระดับน้ำตาลกลูโคสในปัสสาวะได้

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ไม่มีการศึกษาในผู้หญิงที่เพียงพอ ที่จะระบุความเสี่ยงขณะที่ใช้ยาอะเซตามิโนเฟน ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

เพื่อประเมินข้อดีและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ก่อนรับประทานยาอะเซตามิโนเฟน อ้างอิงจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ยานี้จัดเป็นยาที่มีความเสี่ยงสำหรับสตรีมีครรภ์ประเภท C

องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาจัดประเภทความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ดังต่อไปนี้

  • A = ไม่เสี่ยง
  • B = ไม่พบความเสี่ยงจากงานวิจัยบางชิ้น
  • C = อาจมีความเสี่ยงบางอย่าง
  • D = พบหลักฐานเกี่ยวกับความเสี่ยง
  • X = ห้ามใช้
  • N = ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงจากการใช้ Acetaminophen

หยุดใช้ยาอะเซตามิโนเฟนทันทีและไปพบแพทย์หากเกิดอาการดังนี้

ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากเกิดอาการแพ้เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้า ริมฝีปาก ลิ้นและคอบวมขึ้น

ในบางกรณี ยาอะเซตามีโนเฟนอาจทำให้เกิดอาการทางผิวหนังอย่างรุนแรง ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต กรณีนี้อาจเกิดขึ้นแม้เคยใช้ยานี้มาก่อน และไม่มีอาการดังกล่าว ควรหยุดใช้ยาทันที และไปพบแพทย์หากเกิดผื่นแดงบริเวณผิวหนัง และผื่นลามไปทั่ว และผิวหนังพองและลอก หากเกิดอาการดังกล่าว ไม่ควรใช้ยาใดๆ ที่มีส่วนผสมของยาอะเซตามิโนเฟนอีก

ไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงอาการอันเนื่องมาจากผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจมีผลข้างเคียงอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีความกังวลเรื่องผลข้างเคียง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาชนิดอื่น

ยาอะเซตามีโนเฟนอาจมีปฏิกิริยาต่อยาตัวอื่นที่คุณกำลังรับประทานอยู่ และอาจส่งผลให้ยาที่คุณรับประทานออกฤทธิ์ต่างไปจากเดิม หรือเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่รุนแรง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยาที่อาจเป็นไปได้

คุณควรเก็บรายชื่อยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาที่จำหน่ายตามใบสั่งยา ยาที่จำหน่ายโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา และสมุนไพร) และแจ้งให้แพทย์รวมถึงเภสัชกรทราบ เพื่อความปลอดภัย อย่าเริ่มหรือหยุดรับประทาน รวมถึงเปลี่ยนขนาดยา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาอะเซตามีโนเฟนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์ โดยเปลี่ยนฤทธิ์ยา หรือเพิ่มความเสี่ยงให้ที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อถามถึงอาหารหรือแอลกอฮอล์ที่อาจทำปฏิกิริยากับยานี้ก่อนรับประทานยา

ปฏิกิริยาต่ออาการโรคอื่น

ยาอะเซตามีโนเฟนอาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณ ปฏิกิริยาของยาที่มีต่อร่างกายอาจทำให้สุขภาพของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบเกี่ยวกับสุขภาพและโรคประจำตัวของคุณ

ขนาดยา

อายุข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถแทนคำปรึกษาทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ก่อนใช้ยาอะเซตามีโนเฟน

ขนาดยาอะเซตามิโนเฟนสำหรับผู้ใหญ่

สำหรับอาการไข้ในผู้ใหญ่

โดยการฉีด

น้ำหนักตั้งแต่ 50 กิโลกรัมขึ้นไป: ฉีดยาขนาด 1000 มิลลิกรัมเข้าหลอดเลือดดำ ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4000 มิลลิกรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

น้ำหนักต่ำกว่า 50 กิโลกรัม ฉีดขนาด 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับรับประทาน

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที: ขนาด 325 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง

  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์นาน: ขนาด 1300 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

ชนิดเหน็บทวาร

  • 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับอาการปวดในผู้ใหญ่

โดยการฉีด

น้ำหนักตั้งแต่ 50 กิโลกรัมขึ้นไป: ฉีดยาขนาด 1000 มิลลิกรัมเข้าเส้นเลือดดำ ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4000 มิลลิกรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

น้ำหนักน้อยกว่า50 กิโลกรัม: ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเข้าเส้นเลือดดำ ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 12.5 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับรับประทาน

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที: ขนาด 325 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง

  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์นาน: ขนาด 1300 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุด 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

ชนิดเหน็บทวาร

  • ขนาด 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

ขนาดยาอะเซตามิโนเฟนสำหรับเด็ก

สำหรับอาการไข้ในเด็ก

โดยการฉีด

อายุ 2 ถึง 12 ปี ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และไม่เกิน 750 มิลลิกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง และไม่เกิน 3750 มิลลิกรัม

อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป และน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัม ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป และน้ำหนักตั้งแต่ 50 กิโลกรัมขึ้นไป ฉีดยาขนาด 1000 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 4000 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับรับประทาน

ทานขนาด 10 ถึง 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

ปริมาณยาที่ใช้ให้พิจารณาจากน้ำหนักตัวก่อนอายุ

  • น้ำหนัก 7-5.3 กิโลกรัม (0 ถึง 3 เดือน) รับประทาน 40 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 4-8.1 กิโลกรัม (4 ถึง 11 เดือน) รับประทาน 80 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 2-10.8 กิโลกรัม (12 ถึง 23 เดือน): รับประทาน 120 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 9-16.3 กิโลกรัม (2 ถึง 3 ปี): รับประทาน 160 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 4-21.7 กิโลกรัม (4 ถึง 5 ปี): รับประทาน 240 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 8-27.2 กิโลกรัม (6 ถึง 8 ปี): รับประทาน 320 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 3-32.6 กิโลกรัม (9 ถึง 10 ปี): รับประทาน 400 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 7-43.2 กิโลกรัม (11 ถึง 12 ปี): รับประทาน 480 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

อายุ 12 ปีขึ้นไป

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที: ขนาด 325 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง

  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์นาน: ขนาด 1300 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุด 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับเหน็บทวาร

  • อายุ 6 ถึง 11 เดือน 80 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง สูงสุด 4 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 12 ถึง 36 เดือน 80 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 3 ถึง 6 ปี 120 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 6 ถึง 12 ปี 325 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 12 ปีขึ้นไป 650 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 6 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับอาการปวดในเด็ก

โดยการฉีด

อายุ 2 ถึง 12 ปี ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และไม่เกิน 750 มิลลิกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง และไม่เกิน 3750 มิลลิกรัม

อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป และน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัม ฉีดยาขนาด 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 12.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุดต่อ 1 ครั้ง 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป และน้ำหนักตั้งแต่ 50 กิโลกรัมขึ้นไป ฉีดยาขนาด 1000 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง หรือ 650 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง

  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ขนาดสูงสุด 4000 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับรับประทาน

ทานขนาด 10 ถึง 15 มิลลิกรัมต่อนำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

ปริมาณยาที่ใช้ให้พิจารณาจากน้ำหนักตัวก่อนอายุ

  • น้ำหนัก 7-5.3 กิโลกรัม (0 ถึง 3 เดือน) รับประทาน 40 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 4-8.1 กิโลกรัม (4 ถึง 11 เดือน) รับประทาน 80 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 2-10.8 กิโลกรัม (12 ถึง 23 เดือน): รับประทาน 120 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 9-16.3 กิโลกรัม (2 ถึง 3 ปี): รับประทาน 160 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 4-21.7 กิโลกรัม (4 ถึง 5 ปี): รับประทาน 240 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 8-27.2 กิโลกรัม (6 ถึง 8 ปี): รับประทาน 320 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 3 32.6 กิโลกรัม (9 ถึง 10 ปี): รับประทาน 400 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • น้ำหนัก 7-43.2 กิโลกรัม (11 ถึง 12 ปี): รับประทาน 480 มิลลิกรัมทุก 4 ชั่วโมงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

อายุ 12 ปีขึ้นไป

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์ทันที: ขนาด 325 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง

  • แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 1000 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
  • ห้ามใช้ยาเกิน 4 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง

ตัวยารูปแบบออกฤทธิ์นาน: ขนาด 1300 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง

  • ขนาดสูงสุด 3900 มิลลิกรัม ต่อ 24 ชั่วโมง

สำหรับเหน็บทวาร

  • อายุ 6 ถึง 11 เดือน 80 มิลลิกรัมทุก 6 ชั่วโมง สูงสุด 4 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 12 ถึง 36 เดือน 80 มิลลิกรัมทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 3 ถึง 6 ปี 120 มิลลิกรัมทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 6 ถึง 12 ปี 325 มิลลิกรัมทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 5 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง
  • อายุ 12 ปีขึ้นไป 650 มิลลิกรัมทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุด 6 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง

รูปแบบของ Acetaminophen

อะเซตามีโนเฟนอยู่ในรูปแบบดังต่อไปนี้

  • ยาเม็ด
  • ยาน้ำ
  • ยาเหน็บ

กรณีฉุกเฉินหรือการใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

หากลืมรับประทานควรทำอย่างไร

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติ ไม่ควรเพิ่มขนาดยา

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิขฉัยโรค และการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ

ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย ฤทธิศักดิ์ วงศ์วุฒิพงษ์ · แก้ไขล่าสุด 06/11/2023

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา