backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ม็อกซิพริล (Moexipril)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 05/06/2020

ม็อกซิพริล (Moexipril)

ม็อกซิพริล (Moexipril) ใช้เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง อยู่ในกลุ่มของยา ACE inhibitors ทำงานโดยผ่อนคลายหลอดเลือดทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

ข้อบ่งใช้

ยา ม็อกซิพริล ใช้สำหรับ

ยาม็อกซิพริล (Moexipril) ใช้เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง การลดระดับความดันโลหิตที่เพิ่มสูงสามารถช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง หัวใจขาดเลือดฉับพลัน และปัญหาเกี่ยวกับไต ยาม็อกซิพริลอยู่ในกลุ่มของยา ACE inhibitors ทำงานโดยผ่อนคลายหลอดเลือดทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

วิธีใช้ยา ม็อกซิพริล

รับประทานยานี้ขณะท้องว่าง 1 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหารตามที่แพทย์สั่ง โดยปกติคือวันละหนึ่งหรือสองครั้ง ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา

เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง แพทย์อาจจะสั่งให้คุณเริ่มต้นใช้ยานี้ที่ขนาดต่ำ แล้วค่อย ๆ เพิ่มขนาดยา ควรทำตามแนวทางของแพทย์อย่างระมัดระวัง

ใช้ยานี้เป็นประจำเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้จำง่ายขึ้น ควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน

ใช้ยานี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าคุณจะรู้สึกเป็นปกติ คนส่วนใหญ่ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงนั้นจะไม่รู้สึกป่วย

อาจต้องใช้เวลานานกว่าหลายสัปดาห์ กว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากยา

แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง (ระดับความดันโลหิตยังคงสูงอยู่หรือเพิ่มขึ้น)

การเก็บรักษายา ม็อกซิพริล

ควรเก็บรักษายาม็อกซิพริลที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาม็อกซิพริลบางยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรอ่านคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย

ไม่ควรทิ้งม็อกซิพริลลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องได้จากเภสัชกร

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา ม็อกซิพริล

ก่อนใช้ยาม็อกซิพริล แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือแพ้ต่อยาในกลุ่ม ACE inhibitors อื่นๆ เช่น แคปโตพริล (Captopril) หรือลิซิโนพริล (lisinopril) หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนผสมที่ไม่มีฤทธิ์ในการรักษาที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะเคยมีอาการแพ้ รวมไปถึงอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ อย่างโรคแองจิโออีดีมา (Angioedema) กระบวนการกรองเลือด (blood filtering procedures) เช่น การกรองไขมันไม่ดีจากเลือด (LDL apheresis) การฟอกไต (dialysis) ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง การฟอกไต โรคตับ

ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้อาการวิงเวียนรุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวจนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย

อาการเหงื่อออกมากเกินไป ท้องร่วง หรืออาเจียนอาจทำให้เกิดการสูญเสียน้ำในร่างกายมากเกินไปหรือภาวะขาดน้ำ และเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการหน้ามืด แจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีอาการท้องร่วงหรืออาเจียนในระยะยาว ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำนอกเสียจากแพทย์จะสั่งอย่างอื่น

ยานี้อาจเพิ่มระดับของโพแทสเซียม ก่อนใช้อาหารเสริมโพแทสเซียมหรือสารทดแทนเกลือที่มีโพแทสเซียม โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ

ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยาได้มากกว่า โดยเฉพาะอาการวิงเวียนหรือระดับโพแทสเซียมสูง

ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และอ่านเพิ่มเติมในส่วนของคำเตือน

ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายานี้สามารถส่งผ่านน้ำนมแม่ได้หรือไม่ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้

ยาคีโตโปรเฟนจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ ประเภท D โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A = ไม่มีความเสี่ยง
  • B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C = อาจจะมีความเสี่ยง
  • D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X = ห้ามใช้
  • N = ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยา ม็อกซิพริล

อาจเกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด หรือเหนื่อยล้าในช่วงที่ร่างกายกำลังปรับตัวเข้ากับยา และอาจเกิดอาการไอแห้งได้ด้วย หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

เพื่อลดความเสี่ยงในการวิงเวียนและหน้ามืดควรค่อย ๆ ลุกขึ้นจากท่านั่งหรือท่านอน

โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากพิจารณาแล้วว่า ยามีประโยชน์มากกว่าโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใด ๆ

แจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรง ได้แก่ อาการของระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นช้าหรือผิดปกติ หมดสติ

ยาม็อกซิพริลอาจใช้เพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับไต หรือรักษาผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตด้วย แต่ในบางกรณี ยานี้อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับไตหรือทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้เช่นกัน แพทย์จะทำการตรวจสอบสมรรถภาพของไต ขณะที่คุณกำลังใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์ทราบทันที หากคุณมีสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น ปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง

ในนาน ๆ ครั้ง ยานี้อาจทำให้เกิดโรคตับที่รุนแรงและอาจถึงขั้นเสียชีวิต โปรดเข้ารับการรักษาทันทีหากเกิดอาการของตับเสียหาย เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียนไม่หยุด เบื่ออาหาร ปวดท้อง ดวงตาหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง ปัสสาวะสีคล้ำ

ปฏิกิริยาแพ้รุนแรงต่อยาชนิดนี้เป็นเรื่องที่พบได้ยาก อย่างไรก็ตาม ควรเข้ารับการดูแลทางการแพทย์ทันที หากมีอาการแพ้ขั้นรุนแรง ได้แก่ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง ปัญหาการหายใจ ผื่น อาการคันหรือบวม โดยเฉพาะ หน้า ลิ้น คอ

ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาม็อกซิพริลอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่

  • อะลิสคิเรน (aliskiren)
  • ทองคำสำหรับฉีด (gold injections)
  • ลิเทียม (lithium)
  • ซาคูบิทริล (sacubitril)

ยาบางชนิดที่ใช้เพื่อทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแรงลงและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ เช่น

  • เอเวอร์โรไลมัส (everolimus)
  • ไซโลลิมัส (sirolimus)

ยาที่อาจเพิ่มระดับของโพแทสเซียมในเลือด เช่น ยาในกลุ่มตัวบล็อคตัวรับแอนจีโอเทนซิน (ARBs)

  • ลอซาร์แทน (losartan)
  • วาลซาร์แทน (valsartan)
  • ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีดรอสไพรีโนน (drospirenone)

ยาบางชนิดอาจมีส่วนประกอบที่เพิ่มระดับความดันโลหิต หรือทำให้อาการหัวใจล้มเหลวรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งให้เภสัชกรทราบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่คุณใช้ และสอบถามวิธีใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะยาแก้ไอแก้หวัด ยาลดความอ้วน หรือยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) อย่างไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือนาพรอกเซน (naproxen)

อาจเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรง หากคุณรับการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (desensitization) สำหรับอาการแพ้ผึ้งหรือตัวต่อ และกำลังใช้ยาโมเอซิพริล แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาที่คุณกำลังใช้

ปฎิกิริยาต่ออาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาซูมาทริปแทนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยาต่ออาการโรคอื่น

ยาซูมาทริปแทนอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยา ม็อกซิพริล สำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง

ขนาดยาเริ่มต้น

  • ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาขับปัสสาวะ : 7.5 มก. รับประทานวันละครั้ง 1 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร
  • ป่วยที่รับการรักษาด้วยยาขับปัสสาวะ : 3.75 มก. รับประทานวันละครั้ง 1 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร

ขนาดยาปกติ

  • 7.5 ถึง 30 มก. แบ่งรับประทานวันละ 1 หรือ 2 ครั้ง 1 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร

ขนาดยาสูงสุด

  • 60 มก./วัน

คำแนะนำ

  • ควรหยุดการรักษาด้วยยาขับปัสสาวะ 2-3 วัน ก่อนเริ่มใช้ยานี้ หากจำเป็น หากใช้ยานี้เพียงอย่างเดียวแล้วยังไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ อาจกลับมาเริ่มการรักษาด้วยยาขับปัสสาวะอีกครั้ง หากไม่สามารถหยุดการรักษาด้วยยาขับปัสสาวะได้ ให้เริ่มต้นใช้ยานี้ที่ขนาดต่ำ
  • ยังไม่มีการศึกษาขนาดยาโดยรวมมากกว่า 60 มก. ในผู้ป่วยภาวะความดันโลหิตสูง
  • ผลของยาลดความดันอาจลดลงในช่วงท้ายของการใช้ยา ดังนั้นจึงควรวัดระดับความดันโลหิตเพียงแค่ก่อนเริ่มใช้ยา

การปรับขนาดยาสำหรับไต

ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์ (CrCl) 40 มล./นาที/1.73 ตารางเมตร หรือน้อยกว่านั้น ขนาดยาเริ่มต้น 3.75 มก. รับประทานวันละครั้ง 1 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร ขนาดยาสูงสุด 15 มก./วัน

การปรับขนาดยา

ผลการลดความดันของยาโมเอซิพริลอาจลดลงในช่วงท้ายของการใช้ยา ดังนั้นจึงควรวัดระดับความดันโลหิตเพียงแค่ก่อนเริ่มใช้ยา เพื่อหาว่ามีการควบคุมระดับความดันโลหิตที่เพียงพอหรือไม่ หากควบคุมได้ไม่เพียงพออาจเพิ่มขนาดยาหรือแบ่งให้ยา

คำแนะนำอื่นๆ

คำแนะนำการใช้ยา รับประทาน 1 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร

การเฝ้าระวัง

  • เฝ้าระวังเซรั่มอิเล็กโทรไลต์ (serum electrolytes) เป็นระยะ ๆ
  • เฝ้าระวังสมรรถภาพของไตในช่วงสัปดาห์แรกของการรักษา
  • ควรพิจารณาเฝ้าระวังจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวหากผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดคอลลาเจน (collagen vascular disease) โดยเฉพาะหากโรคนั้นมีความเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพของไตบกพร่อง

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

  • แนะนำให้ผู้ป่วยแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากมีสัญญาณหรืออาการของโรคแองจิโออีดีมา (หายใจติดขัดหรือมีอาการบวมที่ใบหน้า แขนขา ดวงตา ริมฝีปาก หรือลิ้น) และหยุดใช้ยานี้จนกว่าจะปรึกษากับแพทย์
  • หากมีอาการหน้ามืดเกิดขึ้นระหว่างเริ่มต้นการรักษาควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที  และหยุดใช้ยานี้จนกว่าจะปรึกษากับแพทย์
  • ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หากมีเหงื่ออกมากเกินไป มีภาวะขาดน้ำ อาเจียน หรือท้องร่วงเนื่องจากอาจทำให้ระดับความดันโลหิตลดลงได้เพราะระดับน้ำในร่างกายลดลง
  • ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาในกลุ่ม potassium-sparing diuretics อาหารเสริมโพแทสเซียม หรือสารทดแทนเกลือที่มีโพแทสเซียมโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • หากมีสัญญาณของการติดเชื้อ (เช่น เจ็บคอ เป็นไข้) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (neutropenia) ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
  • ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ควรรับทราบผลของการใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์ และผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากตั้งครรภ์

ขนาดยาม็อกซิพริลสำหรับเด็ก

ยังไม่มีการพิสูจน์ความความปลอดภัยและประสิทธิภาพของขนาดยานี้สำหรับผู้ป่วยเด็ก ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจกับความปลอดภัยของยาก่อนการใช้ยา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อกับแพทย์หรือเภสัชกร

รูปแบบของยา

ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้

  • ยาเม็ดสำหรับรับประทาน

กรณีฉุกเฉินหรือการใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติ ไม่ควรเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์

ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 05/06/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา