backup og meta

6 พฤติกรรมทำลายชีวิตคู่ ที่ทำให้คนรักต้องเลิกรากันมากที่สุด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 20/07/2020

    6 พฤติกรรมทำลายชีวิตคู่ ที่ทำให้คนรักต้องเลิกรากันมากที่สุด

    ไม่ว่าใครต่างก็อยากรักษาความรักและความสัมพันธ์ให้ยั่งยืนยาว อยู่เคียงคู่กับคนรักไปจนแก่เฒ่า แต่ในบางครั้ง เราอาจไม่เคยสังเกตเลยว่า พฤติกรรมบางอย่างที่เราแสดงออกมา อาจกลายเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ความรักของเราต้องถึงจุดจบ และเลิกรากันไปอย่างน่าเสียดาย วันนี้ Hello คุณหมอ จะมานำเสนอ 6 พฤติกรรมทำลายชีวิตคู่ ที่ควรหลีกเลี่ยง หากอยากให้ความรักยังคงยืนยาว

    6-พฤติกรรมทำลายชีวิตคู่-คนรักต้องเลิกลา

    พฤติกรรมทำลายชีวิตคู่ ที่ทำให้คนรักต้องเลิกรา

    1. ทำให้คนรักอับอายในที่สาธารณะ

    พฤติกรรมสร้างความอับอาย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยความลับ การล้อเลียนข้อด้อย จุดอ่อน หรือการดุด่าว่ากล่าวในที่สาธารณะ ทั้งต่อหน้าเพื่อนที่น้อง หรือต่อหน้าคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้จัก ก็ล้วนแล้วแต่ก็สร้างความอับอายให้แก่อีกฝ่ายทั้งสิ้น ไม่มีใครชอบที่จะต้องมาอับอายต่อหน้าคนอื่นกันทั้งนั้น แล้วทำไมเราถึงได้แสดงพฤติกรรมที่สร้างความอับอายแก่คนรักของเรากันล่ะ

    แม้ว่าเจตนาของเราอาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น ขบขัน หรือความพยายามในการอยากให้คนรักเปลี่ยนแปลงตัวหรือนิสัยที่เราคิดว่าไม่ดี แต่อย่างไรก็ไม่ควรที่จะพูดขึ้นมาขณะที่กำลังอยู่ในที่สาธารณะ แต่ควรเก็บไว้ไปพูดในที่ส่วนตัว ที่ผู้ฟังจะรู้สึกว่าปลอดภัย และสามารถรับฟังข้อติเตียนของเราได้ดีกว่า อีกทั้งยังเป็นการถนอมน้ำใจอีกฝ่าย ไม่ให้ต้องอับอายต่อหน้าคนอื่น ๆ อีกด้วย

    2. ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง

    การสื่อสารนั้นเป็นสิ่งสำคัญถ้าอยากให้ชีวิตคู่ยั่งยืนยาว แต่หากเมื่อเกิดปัญหาทะเลาะกัน แล้วเราเอาแต่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ไม่รู้จักรับฟังเหตุผลของอีกฝ่าย หรือทะเลาะต่อล้อต่อเถียงกันด้วยถ้อยคำที่รุนแรง จนทำให้เกิดความบาดหมางใจกัน ก็อาจกลายเป็นสาเหตุ นำพาความรักไปยังจุดจบได้ง่าย ๆ

    การใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งนั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้คนรักหลายคู่ต้องเลิกรากัน ยิ่งโดยเฉพาะหลาย ๆ คนเวลาที่รู้สึกโมโหอย่างรุนแรง มักจะไม่ค่อยระวังคำพูดของตัวเอง และอาจเผลอพูดคำที่ทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะไม่เจตนา แม้ว่าจะสามารถกล่าวขอโทษและคืนดีกันได้ในภายหลัง แต่คำพูดเหล่านั้นก็อาจจะกลายเป็นบาดแผลลึก รอเวลาปะทุขึ้นมาใหม่ภายหลังได้

    3. ขี้หึงเกินเหตุ

    ความรู้สึกหึงหวง และไม่อยากให้คนรักแสดงความสนใจในตัวผู้อื่นมากกว่าตนเองนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่หากความรู้สึกหึงหวงนี้มีมากจนเกินปกติ จนทำให้ต้องมาคอยตามจ้ำจี้จำไช คอยถามอยู่ตลอดว่าไปไหน ทำอะไร อยู่กับใคร และไม่มีความเชื่อใจในความซื่อสัตย์ของคนรัก จนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง และยังอาจจะต้องมาทะเลาะกัน ด้วยเรื่องเล็ก ๆ อย่างเรื่องเพื่อนต่างเพศในโซเชียลมีเดีย หรือเรื่องกลับบ้านดึก สุดท้ายแล้วความรักนั้นก็จะไม่ยั่งยืน และทำให้ความสัมพันธ์ต้องจบลง

    4. ไม่สนใจ

    ตรงกันข้ามกับความขี้หึง หากคนรักของเราไม่แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใย ไม่เอาใจใส่ หรือไม่สนใจกัน นานวันเข้าก็จะทำให้คนรักเกิดความห่างเหิน ไม่มีความผูกพัน และตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองนั้นยังคงมีอยู่หรือไม่ จริงอยู่ที่ว่าในบางครั้งเราก็อาจที่จะยุ่งอยู่กับการทำงาน และการใช้ชีวิตในส่วนอื่นๆ จนทำให้เราหลงลืมที่จะเอาใจใส่ หรือหันมาให้ความสนใจในส่วนของคนรัก แต่ความสัมพันธ์นั้นจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างใส่ใจซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่ควรละเลย และหันมาให้ความสนใจกับคนรัก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

    5. ล้ำเส้นขีดจำกัด

    ทุกคนล้วนแล้วแต่ก็มีขีดจำกัดความเป็นส่วนตัวของตัวเอง ที่ไม่ยอมให้ใครมาล่วงล้ำ ไม่เว้นแม้แต่คนรัก แต่ในบางครั้งเมื่อเราสนิทกับใครมากๆ เราก็มักจะหลงลืมเส้นขีดจำกัดนี้ และเผลอกระทำสิ่งที่เป็นการล้ำเส้น เพราะคิดว่าอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คงไม่โกรธ เช่น การควบคุมการกระทำของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา หรือการเข้าไปยุ่งกับของรักของหวงของอีกฝ่าย อย่างที่เห็นข่าวกันบ่อย ๆ ว่าผู้หญิงทิ้งเกมส์ของแฟนหนุ่ม หรือผู้ชายทำลายเครื่องสำอางของแฟนสาว สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ก็เป็นการก้าวล้ำเส้นขีดจำกัด และทำให้ความสัมพันธ์ต้องบาดหมางกัน จนอาจทำให้ต้องเลิกรากันทั้งสิ้น

    6. หักหลังความเชื่อใจ

    ทุกความสัมพันธ์ล้วนแล้วแต่ก็อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อใจกันทั้งนั้น แต่หากเรากระทำบางอย่างที่กลายเป็นการหักหลังความเชื่อใจที่คนรักมีให้ ก็อาจทำให้ต้องจบความสัมพันธ์ได้เช่นกัน การหักหลังความเชื่อใจนี้อาจจะเป็นเรื่องของ การนอกใจ หรือการไม่รักษาสัญญา ผิดสัญญาบ่อย ๆ นานวันเข้าอีกฝ่ายก็จะรู้สึกไม่เชื่อถือ และไม่ให้ความเชื่อใจในตัวของอีกฝ่ายอีก

    เมื่อได้รู้จักกับพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว อย่าลืมสังเกตดูว่าคุณหรือคนรักกำลังมีพฤติกรรมเหล่านี้อยู่หรือไม่ หากรู้ตัวว่ามี ควรรีบพยายามแก้ไข ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป หากคุณยังอยากรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ เพื่อไม่ให้ต้องมาเสียใจในภายหลัง

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 20/07/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา