การหายใจเข้าออกลึกๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ โดยจะลดการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic nervous system) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการตอบสนองของร่างกายให้เตรียมพร้อมเผชิญอันตรายหรือภาวะฉุกเฉิน ทำให้ร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะปกติหรือสภาวะผ่อนคลาย ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าและเบาลง โดยการฝึกหายใจเพื่อผ่อนคลายความเครียดและลดอารมณ์วิตกกังวลนั้นสามารถทำได้ด้วยการหายใจเข้าช้าๆ นับ 1-5 จากนั้นค้างไว้ 2 วินาที แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ควรทำติดต่อกันประมาณ 4-5 ครั้ง ซึ่งสามารถฝึกได้ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด โกรธ ไม่สบายใจ หรือฝึกทุกครั้งที่นึกได้
ซึ่งการฝึกหายใจนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นวิธีแก้เครียดและช่วยลดความวิตกกังวลเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ความดันโลหิตลดลง ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อลดลง อีกทั้งยังส่งผลทำให้สมาธิดีขึ้น ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีขึ้น และสามารถคิดแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้เครียดที่ดีเพราะช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายขึ้นได้ อีกทั้งยังช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นด้วย โดยการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสามารถใช้ออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยส่งเสริมระบบการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่ง เอนดอร์ฟิน (Endorphin) หรือสารแห่งความสุข ซึ่งช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่ารวมถึงยังช่วยให้เราหยุดกังวลและจดจ่อกับปัจจุบันได้มากขึ้นขณะออกกำลังกายด้วย
โดยมีงานวิจัยในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 18 ขึ้นไปพบว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือแบบที่ใช้แรงต้านอย่างการยกน้ำหนัก ต่อเนื่องติดต่อกัน 8-16 สัปดาห์ ช่วยทำให้อาการซึมเศร้าดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งนี้ การออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียดนั้น ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสมรรถภาพของร่างกาย โดยควรออกวันละ 20-30 นาที อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
4. ปรับสมดุลชีวิตการทำงาน และหาเวลาว่างทำสิ่งที่ชอบ
การทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจ ซึ่งการปรับสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวนั้นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดความเครียดและช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจที่เกิดจาก ‘ภาวะ Burnout’ หรือความเหน็ดเหนื่อยซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานหนักเกินไปได้ โดยมีงานวิจัยที่พบว่าบริษัทต่างๆ สามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพนักงานให้ดีขึ้นด้วยการให้พนักงานมีสิทธิควบคุมงานของตัวเองได้มากขึ้น ตัดงานที่ไม่จำเป็นออก และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ทำให้เกิดความสุขในการทำงาน
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย