backup og meta

บอกลา ถุงใต้ตา ด้วยวิธีเหล่านี้ที่คุณก็สามารถทำเองได้ที่บ้าน

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย Sopista Kongchon · แก้ไขล่าสุด 08/07/2020

    บอกลา ถุงใต้ตา ด้วยวิธีเหล่านี้ที่คุณก็สามารถทำเองได้ที่บ้าน

    ถุงใต้ตา มักจะเป็นปัญหาในเรื่องความสวยความงาม ส่วนปัญหาเรื่องสุขภาพ มักจะไม่ค่อยพบว่าถุงใต้ตาเป็นสัญญาณทางการแพทย์ที่ร้ายแรง สำหรับวิธีการลดถุงใต้ตาที่ทำได้ที่บ้าน เช่น การประคบเย็นสามารถช่วยลดถุงใต้ตาได้ อย่างไรก็ตามผู้ที่มีถุงใต้ตาถาวรหรือรู้สึกเป็นปัญหา ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง

    สาเหตุของการเกิด ถุงใต้ตา

    อายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้โครงสร้างของเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อที่พยุงหนังตาอ่อนแอลง และการสะสมของเหลวบริเวณใต้ตาของคุณ สามารถทำให้เกิดถุงใต้ตา ซึ่งผิวหนังบริเวณใต้ดวงตาจะบวมขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดถุงใต้ตา หรือทำให้อาการแย่ลง ได้แก่

    • นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • โรคภูมิแพ้
    • การสูบบุหรี่
    • กรรมพันธุ์
    • การกักเก็บของเหลวบริเวณใต้ดวงตา โดยเฉพาะช่วงตื่นนอน หรือหลังจากกินอาหารเค็ม

    วิธีลดและบรรเทาการเกิด ถุงใต้ตา

    วิธีการลดถุงใต้ตา ที่คุณสามารถเริ่มทำได้ที่บ้าน มีดังต่อไปนี้

    ใช้ถุงชา

    คุณสามารถใช้ถุงชาที่มีสารคาเฟอีน วางทับบริเวณใต้ดวงตาเพื่อช่วยลดรอยคล้ำใต้ดวงตาและถุงใต้ตา เนื่องจากคาเฟอีนในชามีสารต้านอนุมูลอิสระ และอาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดให้ผิว นอกจากนี้ยังอาจช่วยป้องกันรังสียูวี และอาจช่วยชะลอวัยด้วย โดยหลังจากดื่มชาที่มีคาเฟอีน คุณอาจทำดังนี้

    • แช่ถุงชา 2 ถุงในน้ำชาเป็นเวลา 3-5 นาที
    • แช่ถุงชาไว้ในตู้เย็น 20 นาที
    • บีบน้ำชาออกจนถุงชาแห้งหมาด
    • วางถุงชาบริเวณใต้ดวงตาไว้ประมาณ 15-30 นาที

    ใช้แผ่นเจลประคบเย็น

    การใช้แผ่นเจลประคบเย็นบริเวณถุงใต้ตา เป็นเวลา 1-3 นาที อาจช่วยลดถุงใต้ตาได้ชั่วคราว เนื่องจากการใช้ความเย็นจะทำให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรวดเร็วจึงสามารถบรรเทาชั่วคราวได้ โดยคุณอาจซื้อแผ่นเจลประคบเย็นจากร้านค้า หรือประคบเย็นจากการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

    • ช้อนแช่แข็ง
    • แตงกวาเย็น
    • ถุงผักแช่แข็ง
    • ผ้าเย็น

    อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะประคบเย็นควรห่อแผ่นเจลประคบเย็นด้วยผ้านุ่ม เพื่อป้องกันผิวจากความเย็นจัด

    ดื่มน้ำให้เพียงพอ

    ภาวะขาดน้ำเกี่ยวข้องกับการเกิดถุงใต้ตา โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรดื่มน้ำอย่างน้อย 13 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชาย ส่วนผู้หญิงควรดื่มน้ำ 9 แก้วต่อวัน ดังนั้นคุณอาจบอกลาถุงใต้ตา ด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าเดิม

    รักษาอาการของโรคภูมิแพ้

    ถุงใต้ตาอาจเกิดจากโรคภูมิแพ้ รวมถึงรอยคล้ำใต้ดวงตาด้วย นอกจากนี้คุณอาจมีอาการตาแดง น้ำตาไหล และคันตา ซึ่งปฏิกิริยาเหล่านี้เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ต่อสิ่งที่ทำให้ระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้

    ถ้าคุณรู้สึกว่าถุงใต้ตาอาจเกี่ยวข้องกับอาการภูมิแพ้ อาจใช้ยาที่รักษาโรคภูมิแพ้ และควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ แต่หากคุณเป็นภูมิแพ้และมีอาการถุงใต้ตาเรื้อรัง ควรไปพบคุณหมอ

    ทำความสะอาดเครื่องสำอาง

    การปรับกิจวัตรก่อนนอน อาจช่วยป้องกันการเกิดถุงใต้ตาได้ โดยก่อนเข้านอนควรทำความสะอาจผิวหน้า และไม่ควรนอนหลับทั้งที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่บนใบหน้า เนื่องจากถ้าคุณมีมาสคาร่า หรือเครื่องสำอางที่ตกแต่งดวงตาต่างๆ อาจทำให้เกิดอาการดังนี้

    • ระคายเคืองดวงตา
    • เกิดอาการแพ้
    • พัฒนาเป็นการติดเชื้อที่จะทำให้มีอาการตาแดง ตาบวม หรืออาการอื่นๆ

    มากไปกว่านั้นยังมีข้อมูลว่าการลืมทำความสะอาดผิวหน้าก่อนนอน หรือนอนหลับไปพร้อมเครื่องสำอาง อาจทำให้เกิดริ้วรอยบนผิวหน้า และเกิดความเสียหายต่อผิว รวมถึงทำให้ผิวหน้าแก่ก่อนวัยด้วย

    ป้องกันดวงตาจากแสงยูวี

    นอกจากจะใช้ครีมกันแดดสำหรับผิวกายแล้ว การทาครีมกันแดดบนผิวหน้าก็สำคัญเช่นกัน เนื่องจากแสงแดดสามารถทำให้ผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอยได้ จึงควรใช้ครีมกันแดด แว่นกันแดด และหมวก เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดด นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำว่าควรสวมแว่นกันแดดทุกวัน เนื่องจากอาจช่วยลดถุงใต้ตา และช่วยให้อาการใต้ตาคล้ำดีขึ้น

    ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใส

    ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวมักจะมีส่วนผสมที่ชื่อว่า ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ที่จะรบกวนการผลิตเมลานินของผิว ซึ่งสามารถช่วยลดรอยคล้ำบริเวณถุงใต้ตา และลดรอยคล้ำใต้ตาได้ โดยผลิตภัณฑ์อาจอยู่ในรูปแบบของมอยส์เจอไรเซอร์ ประเภทครีม เจล โลชัน ซึ่งควรใช้ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ

    อย่างไรก็ตาม หากมีอาการแพ้หลังใช้ผลิตภัณฑ์ หรือมีผิวหน้าแห้ง ระคายเคือง และผิวอ่อนแอ ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันที และควรปรึกษาแพทย์

    เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ

    ถุงใต้ตามักจะไม่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามถ้ามีอาการเจ็บ คัน หรือแดง ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจหมายถึงโรคไทรอยด์ การติดเชื้อ หรือโรคภูมิแพ้

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัย หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย Sopista Kongchon · แก้ไขล่าสุด 08/07/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา