backup og meta

วิธีแก้ปวดท้องประจำเดือน มีวิธีใดบ้าง

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงวรัญญา สิริธนาสาร · สุขภาพทางเพศ · โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์


เขียนโดย นนทกร บัณฑิตสินทรัพย์ · แก้ไขล่าสุด 14/02/2023

    วิธีแก้ปวดท้องประจำเดือน มีวิธีใดบ้าง

    ปวดท้องประจำเดือน เป็นอาการปวดท้องน้อยหรือบริเวณอุ้งเชิงกรานที่เกิดขึ้นขณะมีประจำเดือน มีลักษณะปวดบีบบริเวณท้องน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนหรือหลังเริ่มมีประจำเดือน อาการจะมากที่สุดในช่วงที่มีเลือดระดูออกมาก มักมีอาการอยู่ประมาณ 1 วัน แต่อาจพบมีอาการได้นานถึง 2-3 วัน พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ จนถึงวัยหมดประจำเดือน

    ภาวะปวดท้องประจำเดือน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) และแบบทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) ภาวะปวดท้องประจำเดือนแบบปฐมภูมิมีลักษณะปวดบีบบริเวณท้องน้อยในขณะมีประจำเดือนโดยที่ไม่มีพยาธิสภาพในช่องอุ้งเชิงกราน ในขณะที่ภาวะปวดท้องประจำเดือนทุติยภูมิเป็นการปวดที่เกิดจากพยาธิสภาพในช่องอุ้งเชิงกราน เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) นอกจากอาการปวดท้องน้อยขณะมีประจำเดือน อาจพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง ผู้หญิงบางคนอาจมีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น หากทราบ วิธีแก้ปวดท้องประจำเดือน ที่เหมาะสม อาจช่วยบรรเทาอาการได้

    ประจำเดือน คืออะไร 

    ประจำเดือน คือ เลือดที่ไหลออกมาจากทางช่องคลอดทุกเดือนเมื่อถึงช่วงวัยเจริญพันธุ์ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเริ่มมีประจำเดือนตอนอายุ 11-14 ปี และจะมีประจำเดือนต่อเนื่องไปจนถึงอายุประมาณ 45-55 ปี หลังจากนั้นจะเริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือที่เรียกว่าวัยทอง ทั้งนี้ ประจำเดือนปกติอาจมาประมาณ 3-5 วัน แต่ไม่ควรเกิน 7 วัน ยกเว้นในช่วงตั้งครรภ์ที่ผู้หญิงจะไม่มีประจำเดือน เมื่อมีประจำเดือน ควรหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยเป็นประจำทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นอับ และป้องกันเชื้อโรคสะสมจนอาจเสี่ยงติดเชื้อได้

    อาการปวดท้องประจำเดือน 

    อาการปวดท้องประจำเดือน อาจส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนี้  

    อาการทางด้านร่างกาย 

    • เวียนศีรษะ มึนงง ปวดศีรษะ 
    • หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
    • ท้องอืด ท้องเฟ้อ 
    • ท้องผูก หรือท้องเสีย 
    • ปวดท้องน้อย 
    • ปวดหลังส่วนล่าง 
    • ตะคริว
    • คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย

    อาการทางด้านจิตใจ 

    • หงุดหงิด หรือโมโหง่าย 
    • วิตกกังวล ไม่มีสมาธิ 
    • อารมณ์แปรปรวน 
    • ความอยากอาหารเปลี่ยนไป อาจรับประทานมากขึ้น หรือน้อยลง 
    • มีปัญหาด้านการนอนหลับ อาจนอนหลับมากเกินไป หรือน้อยเกินไป 
    • เหนื่อยง่ายกว่าปกติ

    สาเหตุของอาการปวดท้องประจำเดือน 

    อาการปวดท้องประจำเดือนอาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้ 

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เปลี่ยนแปลงก่อนและระหว่างมีประจำเดือน อาจส่งผลให้ปวดท้องประจำเดือนได้ 
  • เนื้องอกในมดลูก อาจเกิดขึ้นในเยื่อบุโพรงมดลูก เนื้องอกอาจมีขนาดเล็กระดับมิลลิเมตรไปจนถึงใหญ่ระดับหลายสิบเซนติเมตร ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เนื้องอกในเยื่อบุโพรงมดลูกอาจทำให้ประจำเดือนมามากและส่งผลให้ปวดท้องได้
  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
  • ปากมดลูกตีบ (Cervical stenosis)
  • อุ้งเชิงกรานอักเสบ มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาจส่งผลทำให้เป็นตะคริวและปวดได้  
  • วิธีแก้ปวดท้องประจำเดือน

    วิธีเหล่านี้อาจช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ 

    • รับประทานยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) พาราเซตามอล
    • รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี โยเกิร์ต
    • รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ (low fat) เพื่อลดการสร้างกรดอะราคิโดนิก (Arachidonic acid) ซึ่งเป็นสร้างตั้งต้นทำให้เกิดกลไกการปวดประจำเดือน
    • รับประทานวิตามินเสริม ได้แก่ วิตามินอี วิตามินบีหนึ่ง และโอเมก้า 3
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม 
    • ดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้ว/วัน โดยอาจดื่มน้ำร้อนเพราะอาจช่วยเพิ่มกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและช่วยคลายกล้ามเนื้อ ส่งผลให้อาจช่วยลดอาการปวดท้องที่เกิดจากการหดรัดตัวของมดลูกได้
    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 45-60 นาที/วัน อย่างน้อย 3ครั้ง/สัปดาห์ เช่น เดิน วิ่ง โยคะ ปั่นจักรยาน เพื่อช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี นอกจากนี้ ขณะออกกำลังกายร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้มีความสุข และอาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องเกร็งช่วงหน้าท้องมาก ๆ เพราะอาจส่งผลให้ปวดประจำเดือนมากขึ้นได้
    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
    • ประคบร้อน จากการศึกษาใช้ถุงน้ำร้อนอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ประคบบริเวณท้องน้อย ลดอาการปวดประจำเดือนได้ เนื่องจากความร้อนอาจช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
    • ลดความเครียด โดยอาจบรรเทาความเครียดด้วยการนั่งสมาธิ โยคะ นวดบำบัด หรือหางานอดิเรกทำ เช่น ฟังเพลง ดูหนัง ไปเที่ยว เพื่อผ่อนคลาย 

    ทั้งนี้ หากมีอาการปวดท้องประจำเดือนที่รุนแรงหรือเรื้อรัง ทานยาลดปวดแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือต้องเพิ่มปริมาณยาขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น ประจำเดือนมาน้อย หรือมามากเกินไป ประจำเดือนขาดนานเกิน 3 เดือน ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างตรงจุด 

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงวรัญญา สิริธนาสาร

    สุขภาพทางเพศ · โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์


    เขียนโดย นนทกร บัณฑิตสินทรัพย์ · แก้ไขล่าสุด 14/02/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา