backup og meta

โรคซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม มีวิธีรักษาและการป้องกันอย่างไร

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงอรกนิษฐา อรุณาทิตย์ · สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 02/01/2023

    โรคซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม มีวิธีรักษาและการป้องกันอย่างไร

    โรคซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม ? อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เนื่องจากทั้ง 2 โรค เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีอาการบางอย่างคล้ายกัน ทำให้หลายคนไม่สามารถแยกออกได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นโรคใดก็ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยบรรเทาอาการรุนแรงและลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

    โรคซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม

    โรคซิฟิลิส กับ เอดส์ ล้วนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งคู่ โดยโรคซิฟิลิสมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา แพลลิดัม (Treponema pallidum) ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน รวมถึงการสัมผัสกับสารคัดหลั่งผ่านทางบาดแผลและรอยถลอกตามผิวหนัง ส่วนโรคเอดส์มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ในระยะสุดท้าย ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อีกทั้งยังอาจได้รับผ่านทางการใช้เข็มร่วมกับผู้ติดเชื้อ การสัก และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้เช่นกัน

    ทั้งโรคซิฟิลิสกับโรคเอดส์อาจใช้ระยะเวลาหลายปีกว่าจะแสดงอาการและอาจมีอาการบางอย่างคล้ายกัน เช่น แผลหรือผื่นที่เกิดขึ้นตามลำตัวหรือในช่องปาก ต่อมน้ำเหลืองบวม มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อกล้ามเนื้อ น้ำหนักลดลง แต่มีความแตกต่างกันตรงที่โรคซิฟิลิสมักแสดงอาการตามระยะของโรค ดังนี้

    • ระยะที่ 1 อาจเกิดแผลเล็ก ๆ ในบริเวณที่ได้รับเชื้อ เรียกว่า แผลริมแข็ง ภายใน 3 สัปดาห์แรกหลังได้รับเชื้อ ซึ่งไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บใด ๆ
    • ระยะที่ 2 หลังจากแผลริมแข็งหาย อาจเริ่มมีอาการผื่นขึ้นตามตัว รวมถึงอาการตุ่มคล้ายหูดในบริเวณอวัยวะเพศและปาก ปวดกล้ามเนื้อ เป็นไข้ ผมร่วง และต่อมน้ำเหลืองบวม
    • ระยะที่ 3 เป็นระยะแฝงที่ไม่มีอาการใด ๆ โดยอาจใช้เวลานานหลายปีก่อนที่โรคจะพัฒนาไปสู่ระยะต่อไป
    • ระยะที่ 4 เป็นระยะสุดท้ายของโรคซิฟิลิส ซึ่งเป็นระยะที่โรคได้ทำลายส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และอาจส่งผลให้กระดูกเสื่อม ข้อต่ออักเสบ เส้นประสาทเสียหาย การทำงานของหัวใจ หลอดเลือดและสมองล้มเหลว และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

    ในขณะที่โรคเอดส์เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น โรคปอดบวม วัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในช่องคลอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งทวารหนัก มะเร็งปากมดลูก โรคตับ โรคไต และสมองเสื่อมขั้นรุนแรง

    โรคซิฟิลิส กับ เอดส์ มีวิธีรักษาเหมือนกันไหม

    โรคซิฟิลิส กับ เอดส์ มีวิธีรักษาดังต่อไปนี้

    วิธีรักษาโรคซิฟิลิส

    คุณหมออาจรักษาด้วยยากลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) เช่น ยาเบนซาธีน เพนิซิลลิน จี (Benzathine Penicillin G) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะในรูปแบบฉีดที่ใช้เพื่อช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย โดยพิจารณาตามระยะของโรคซิฟิลิส

    สำหรับผู้ที่แพ้ยากลุ่มเพนิซิลลิน คุณหมออาจแนะนำให้รักษาด้วยยาชนิดอื่น ๆ เช่น Ceftriaxone หรือ Erythromycin สำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีอาการแพ้เพนิซิลลิน อาจต้องเข้ารับการบำบัดด้วยเทคนิคดีเซนซิทิเซชั่น (Desensitization) ที่เป็นกระบวนการช่วยลดความไวต่อยาเพนิซิลลินก่อนจะให้กลับมาใช้ยาเพนิซิลลินดังเดิม เพราะยาเพนิซิลลินเป็นยารักษาโรคซิฟิลิสเพียงชนิดเดียวที่แนะนำให้ใช้กับสตรีตั้งครรภ์

    วิธีรักษาโรคเอดส์

    ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอดส์ให้หายขาด แต่มีวิธีที่อาจช่วยควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงด้วยการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ดังต่อไปนี้

    • กลุ่มยาเอ็นเอ็นอาร์ทีไอ (NNRTIs) เช่น โดราไวรีน (Doravirine) เอฟฟาไวเร็นซ์ (Efavirenz) ริวพิไวรีน (Rilpivirine) ที่ออกฤทธิ์โดยไปจับกับเอนไซม์และยับยั้งไม่ให้ไวรัสเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเอนไซม์
    • กลุ่มยาเอ็นอาร์ทีแอลไอ (NRTIs) เช่น ลามิวูดีน (Lamivudine) ไซโดวูดีน (Zidovudine) อบาคาเวียร์ (Abacavir) ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine)  เพื่อช่วยบรรเทาอาการป่วยจากโรคเอดส์และลดความเสี่ยงการติดเชื้อจากคุณแม่ไปสู่ทารกในครรภ์
    • เอชไอวีโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ (HIV Protease Inhibition) เช่น อะทาซานาเวียร์ (Atazanavir) ดารูนาเวียร์ (Darunavir) เพื่อช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสเอชไอวีและลดการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส
    • อินทีเกรส (Integrase) เช่น ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine) เพื่อช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อินทิเกรสที่อาจส่งผลให้ไวรัสสามารถแทรกเข้าไปในพันธุกรรม และช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
    • เอชไอวีฟิวชันอินฮิบิเตอร์ (HIV Fusion Inhibitors) หรือสารยับยั้งการหลอมตัวของไวรัสเข้ากับเซลล์ เช่น เอ็นฟูเวอร์ไทด์ (Enfuvirtide) มาราไวรอค (Maraviroc) เพื่อช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อเอชไอวีเกาะจับกับเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยลดอาการดื้อยา และป้องกันการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสเอชไอวี

    การป้องกันโรคซิฟิลิส กับ เอดส์

    การป้องกันโรคซิฟิลิส กับ เอดส์ อาจทำได้ดังนี้

    • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
    • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากมีแผลเปิดบริเวณอวัยวะเพศและโดยรอบ
    • ไม่ควรใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่นเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงให้ร่างกายได้รับเชื้อที่นำไปสู่การเกิดโรคซิฟิลิสและโรคเอดส์
    • สำหรับผู้ที่วางแผนมีบุตร ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคก่อนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
    • สตรีตั้งครรภ์ควรเข้าพบคุณหมอตามกำหนดเพื่อตรวจคัดกรองโรคและตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์
    • การใช้ยาเพร็พ (PrEP) เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะรับเชื้อเอชไอวี
    • การใช้ยาเป็ป (PEP) อาจช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหลังจากได้รับเชื้อเอชไอวีแล้ว โดยควรรับยาเป็ปภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง หลังจากเวลาที่คาดว่าอาจได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงอรกนิษฐา อรุณาทิตย์

    สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 02/01/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา