backup og meta

รังสีอัลตราไวโอเลต ส่งผลต่อสุขภาพผิวอย่างไร

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 05/08/2022

    รังสีอัลตราไวโอเลต ส่งผลต่อสุขภาพผิวอย่างไร

    รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet หรือ UV) เป็นคลื่นแสงที่พบได้ในดวงอาทิตย์และอุปกรณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น หลอดไฟ ไฟฉาย โดยรังสีอัลตราไวโอเลตอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพผิว เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำ ความเหี่ยวย่น นอกจากนี้ เมื่อผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เซลล์ผิวกลายพันธ์ุและกลายเป็นโรคมะเร็งผิวหนังที่เป็นอันตราย

    รังสีอัลตราไวโอเลต คืออะไร

    รังสีอัลตราไวโอเลต คือ ส่วนหนึ่งของพลังงานตามธรรมชาติที่มีแหล่งกำเนิดหลักจากดวงอาทิตย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถทำร้ายผิวหนังได้ โดยประเภทของรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีส่วนทำให้เกิดมะเร็งอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

    • รังสีอัลตราไวโอเลตเอ (Ultraviolet A หรือ UVA) มีความยาวคลื่นที่ยาวและมีพลังงานที่น้อยกว่ารังสียูวีบี อาจส่งผลให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพ และทำให้เกิดปัญหาผิว เช่น ริ้วรอย ผิวหนังหย่อนคล้อย
    • รังสีอัลตราไวโอเลตบี (Ultraviolet B หรือ UVB) มีความยาวคลื่นสั้น ส่งผลต่อปัญหาผิวและทำให้เกิดปัญหาผิวไหม้แดด

    การสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลตทั้ง 2 ประเภท ในระยะเวลานานอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ DNA ในเซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพ เพิ่มความเสี่ยงต่อความบกพร่องทางพันธุกรรมหรือการกลายพันธุ์ และนำไปสู่ริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ ต้อกระจก ต้อเนื้อ หรืออาจร้ายแรงจนเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้

    รังสีอัลตราไวโอเลต พบได้ที่ไหนบ้าง

    ในปัจจุบันแหล่งกำเนิดแสงอัลตราไวโอเลตมีอยู่รอบตัวจึงทำให้หลีกเลี่ยงได้ยาก แหล่งกำเนิดแสงอัลตราไวโอเลต มีดังนี้

    • แสงแดด เป็นแหล่งกำเนิดหลักของรังสีอัลตราไวโอเลต โดยรังสีอัลตราไวโอเลตประเภทต่าง ๆ จะตกกระทบสู่พื้นดินในปริมาณที่ต่างกัน คือ ประมาณ 95% ของรังสี UV จากดวงอาทิตย์ที่ตกกระทบพื้นเป็นรังสี UVA ส่วนที่เหลืออีก 5% เป็นรังสี UVB
    • การฉายแสง เป็นวิธีการรักษาปัญหาผิวบางประการ เช่น โรคสะเก็ดเงิน โดยใช้แสงอัลตราไวโอเลตในการรักษา
    • หลอดไฟ ส่วนใหญ่จะให้แสงรังสีอัลตราไวโอเลตประเภท UVA แต่ด้านในของหลอดไฟจะมีตัวกรองรังสีเพื่อป้องกันแสงส่วนใหญ่ที่อาจทำร้ายผิว
    • โคมไฟ สำหรับใช้ให้ความสว่างในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น ถนน สวนสาธารณะ โรงยิม โดยหลอดไฟประเภทนี้จะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ หลอดไฟด้านในที่ปล่อยแสงและรังสีอัลตราไวโอเลต และหลอดไฟด้านนอกที่กรองรังสียูวีออก
    • ไฟซีนอน (Xenon) คือไฟที่บรรจุก๊าซซีนอน ทำให้ได้ไฟที่มีความสว่างมาก อาจพบได้ในไฟหน้ารถ หรือใช้สำหรับการฆ่าเชื้อในโรงงานอุตสาหกรรรม เป็นต้น
    • เตียงอาบแดดและโคมไฟแสงแดด (Sunlamps and sunbeds) ปริมาณและประเภทของรังสีอัลตราไวโอเลตที่ได้รับอาจขึ้นอยู่ชนิดของโคมไฟที่ใช้ ระยะเวลา และลักษณะการนอนอาบแดด

    ผลกระทบของรังสีอัลตราไวโอเลตต่อผิวหนัง

    รังสีอัลตราไวโอเลตทั้งจากธรรมชาติและจากแหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอาจสร้างอันตรายให้กับผิวหนังและสุขภาพได้ ดังนี้

    • มะเร็งผิวหนัง ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณมาก หรือการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดการกลายพันธุ์ และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนังชนิดต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็งผิวหนังชนิดสเควมัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinomas) โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเบซาลเซลล์ (Basal Cell Carcinomas) นอกจากนี้ อาจเสี่ยงทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Nonmelanoma Skin Cancers) ที่อาจพบได้น้อยแต่มีความรุนแรงได้อีกด้วย
    • ผิวไหม้จากแดด เมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดดรุนแรงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้มีอาการผิวไหม้ แสบผิว ผิวแดง และผิวลอกได้
    • ผิวเสื่อมก่อนวัย การโดนแสงแดดเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวเสื่อมก่อนวัยอันควร และอาจทำให้ผิวหนาขึ้น เกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น และจุดด่างดำ
    • ปัญหาสายตา แสงแดดอาจส่งผลต่อกระจกตา ทำให้กระจกตาอักเสบ หรือไหม้ได้ นอกจากนี้ ยังอาจเพิ่มเสี่ยงของต้อกระจกและต้อเนื้อ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาว
    • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไปอาจยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และการป้องกันผิวหนัง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง และปัญหาผิวหนังมากขึ้น เช่น รอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ โรคผิวหนัง

    การป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต

    การดูแลสุขภาพผิวเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตอาจทำได้ ดังนี้

  • อยู่ในอาคาร ในช่วงเวลาที่มีแดดจัดระหว่างเวลา 10.00-16.00 น. เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีปริมาณของรังสีอัลตราไวโอเลตมากที่สุด จึงควรหลีกเลี่ยงการออกจากอาคาร เพราะอาจทำให้ผิวได้รับอันตรายจากแสงแดดมากขึ้น
  • สวมหมวก เสื้อผ้ากันยูวี และแว่นกันแดด หากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกในช่วงเวลาที่แดดจัด ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันแสงแดด เพื่อปกป้องผิวและดวงตาให้ปลอดภัยจากรังสีอัลตราไวโอเลต
  • ใช้ครีมกันแดด ครีมกันแดดอาจสามารถช่วยปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้ โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 และควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อการปกป้องผิวให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
  • หลีกการใช้เตียงอาบแดด เนื่องจากเตียงอาบแดดเป็นอุปกรณ์เลียนแบบแสงตามธรรมชาติ การใช้เป็นเวลานานและบ่อยครั้งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการได้รับอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้เช่นกัน
  • หลีกเลี่ยงการอาบแดด เนื่องจากการนอนอาบแดดจะส่งผลให้ผิวหนังได้รับแสงอาทิตย์โดยตรง และเป็นเวลานาน อาจส่งผลต่อเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวไหม้ หรืออาจเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง
  • สำหรับอาชีพที่ต้องสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลตโดยตรงและบ่อยครั้ง ควรใส่ชุดป้องกันในขณะทำงาน เช่น หน้ากากป้องกันรังสี เสื้อและกางเกงขายาว แว่นตากันแดด รวมถึงควรปฏิบัติตามข้อควระวังด้านความปลอดภัยของแต่ละอาชีพอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันแสงที่อาจทำร้ายดวงตาและผิว
  • หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย


    เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 05/08/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา