backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

สิว อาการ สาเหตุ และการรักษา

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงอัญชิสา กาญจโนมัย · โรคผิวหนัง · พรเกษมคลินิก


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 31/12/2022

สิว อาการ สาเหตุ และการรักษา

สิว คือ การอักเสบของผิวหนังที่อาจเกิดจากการอุดตันของน้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย ( P. Acne) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยเฉพาะวัยรุ่น และผู้หญิงวัยกลางคนที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ  (Polycystic ovarian syndrome) การรักษาสิวจึงอาจขึ้นอยู่สาเหตุและความรุนแรงของสิว ยิ่งเข้ารับการรักษาเร็วอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวรุนแรงมากขึ้นได้

คำจำกัดความ

สิว คืออะไร

สิว คือ ภาวะทางผิวหนังที่เกิดขึ้นได้เมื่อรูขุมขนอุดตันด้วยน้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมทั้งการติดเชื้อแบคทีเรีย P. Acne อาจทำให้เกิดเป็นสิวหัวขาว สิวหัวดำ หรือสิวอักเสบ ซึ่งสิวสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มักพบบ่อยในวัยรุ่น หรือวัยกลางคนที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมาก

อาการ

อาการสิว

อาการของสิวอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของสิว ดังนี้

  • สิวหัวดำ ลักษณะรูขุมขนเปิด  ตุ่มเป็นสีดำ สามารถกดออกได้ในระยะนี้
  • สิวหัวขาว ลักษณะคล้ายสิวหัวดำ รูขุมขนปิด อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นเมื่อบีบออก
  • สิวมีเลือดคั่ง เป็นตุ่มหน่องเล็ก ๆ ที่มีเลือดปนที่อาจเจ็บปวด
  • สิวตุ่มหนอง มีลักษณะคล้ายสิวมีเลือดคั่ง แต่มีจุดสีขาวอยู่ตรงกลางสิว เกิดจากการสะสมของหนอง
  • ซีสต์ เป็นก้อนหนองขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง มีอาการเจ็บปวด เสี่ยงเกิดแผลเป็นถาวร

สาเหตุ

สาเหตุสิว

สิวอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น การผลิตน้ำมันส่วนเกิน รูขุมขนอุดตันจากเซลล์ผิวที่ตายและหรือน้ำมันบนผิว การติดเชื้อแบคทีเรีย และการอักเสบ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้บนผิวหนังทุกบริเวณ แต่มักพบบริเวณใบหน้า หลัง หน้าอก และไหล่ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีรูขุมขนเชื่อมต่อกับต่อมไขมันมากที่สุดจึงอาจ ส่งผลให้เกิดสิวขึ้นบ่อยครั้ง

สิวหัวขาวจะมีลักษณะผิวหนังนูนขึ้น หัวสิวมีสีขาว หรืออาจเป็นตุ่มนูนสีแดงและมีจุดกึ่งกลางเป็นสีขาวซึ่งเกิดจากรูขุมขนอุดตัน เกิดการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรียภายในผิวหนังทำให้เกิดก้อน มีลักษณะเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนัง ส่วนสิวหัวดำหรือสิวหัวเปิด ที่มีลักษณะเป็นสีดำเหมือนมีสิ่งสกปรกฝังอยู่ในรูขุมขน แต่ที่จริงแล้วเกิดจากน้ำมันและแบคทีเรียที่สัมผัสกับอากาศจนกลายเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ

นอกจากนี้ สิวอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่น ๆ ดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในช่วงวัยหนุ่มสาว ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgens) จะเพิ่มขึ้น ทำให้ต่อมไขมันขยายใหญ่ขึ้น และทำให้น้ำมันบนผิวเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ในช่วงวัยกลางคนก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้หญิงในช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือเป็นกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ
  • ความเครียด อาจมีส่วนทำให้สิวมีอาการที่รุนแรงและอาจลุกลามมากขึ้น
  • อาหาร การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณมาก เช่น ขนมปัง มันฝรั่งทอด หรือนม อาจทำให้สิวมีอาการแย่ลงในผู้ป่วยบางราย
  • การใช้ยาบางชนิด อาจก่อให้เกิดสิวได้ เช่น ยาที่มีคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เทสโทสเตอโรน (Testosterone) หรือลิเธียม (Lithium)

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดสิว แต่มักเกิดขึ้นได้น้อย เช่น อาหารมัน ช็อกโกแลต วิธีทำความสะอาดผิว เครื่องสำอาง ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างความระคายเคืองผิว หรือการอุดตันรูขุมขน ซึ่งอาจทำให้เกิดสิว หรือมีอาการรุนแรงกว่าเดิม

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงสิว

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดสิว มีดังนี้

  • อายุ สิวสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย แต่ส่วนใหญ่พบในวัยรุ่น
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมักเกิดขึ้นในวัยรุ่นและการตั้งครรภ์
  • พันธุกรรม บางครอบครัวอาจมีพันธุกรรมที่ทำให้มีโอกาสเป็นสิวมากกว่า
  • ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความมันให้กับผิว ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันอาจเพิ่มการอุดตันได้
  • ความระคายเคือง สิ่งของบางอย่างที่ต้องสัมผัสกับผิว เช่น โทรศัพท์มือถือ หมวกนิรภัย และเป้สะพายหลัง อาจทำให้เกิดความระคายเคืองกับผิวได้
  • ยาบางชนิด เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ ลิเธียม ยากันชัก ฮอร์โมนแอนโดรเจน สเตียรอยด์
  • การสูบบุหรี่ อาจทำให้เกิดสิวในผู้สูงอายุ

การวินิจฉัยและการรักษา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยสิว

การวินิจฉัยสิวคุณหมออาจตรวจสภาพผิวในบริเวณที่เกิดสิวว่ามีลักษณะและอาการรุนแรงมากแค่ไหน เพื่อเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสม ดังนี้

  • สิวไม่รุนแรง ส่วนใหญ่เป็นสิวหัวขาวและสิวหัวดำ อาจมีเลือดคั่งและเป็นตุ่มหนองเล็กน้อย
  • สิวรุนแรงปานกลาง สิวที่มีลักษณะแพร่กระจายบนผิวหนังมากขึ้น
  • สิวรุนแรงมาก มีตุ่มหนอง เลือดคั่งขนาดใหญ่ และทำให้มีอาการปวด อาจเป็นก้อนหรือซีสต์จำนวนมาก และอาจเป็นแผลเป็น

การรักษาสิว

การรักษาสิวอาจขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว ดังนี้

การรักษาเฉพาะที่ (เจล ครีม และโลชั่น)

การรักษาด้วยยาในรูปแบบเจล ครีม หรือโลชั่น ใช้รักษาสิวตั้งแต่ในระดับไม่รุนแรงจนถึงรุนแรงมาก ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคุณหมอ ได้แก่

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) เป็นยาฆ่าเชื้อที่ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียบนผิวหนัง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และยังช่วยลดจำนวนสิวหัวขาวและสิวหัวดำได้ ควรใช้หลังจากล้างหน้าหรือทำความสะอาดผิว 20 นาที โดยทาให้ทั่วบริเวณที่มีสิว อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น ผิวแห้งตึง คัน แสบร้อน ผิวลอก รอยแดง ผิวหนังบาง ผลข้างเคียงเหล่านี้มักหายไปเมื่อเสร็จสิ้นการรักษา
  • เรตินอยด์เฉพาะที่ ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกในรูขุมขน และลดรอยดำได้ ใช้วันละครั้งก่อนนอน โดยทาบริเวณที่สิวหลังทำความสะอาดผิว 20 นาที อาจมีผลข้างเคียงทำให้ระเคืองผิวและแสบผิวเล็กน้อย ยาชนิดนี้ไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์
  • ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง คุณหมออาจแนะนำให้ใช้เพียงประมาณ 6 – 8 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงแบคทีเรียดื้อยาซึ่งอาจทำให้สิวแย่ลงได้ อาจมีผลข้างเคียงทำให้ระคายเคืองผิว รอยแดง และผิวลอก
  • กรดอะเซลาอิก (Azelaic acid) เป็นยาทางเลือกรักษาสิว หากยาชนิดอื่นทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงมาก กรดอะเซลาอิกช่วยกำจัดผิวที่ตายแล้วและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดรอยดำได้ อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวไหม้ แสบ คัน ผิวแห้ง และรอยแดง

ยาปฏิชีวนะสำหรับรับประทาน

ยาปฏิชีวนะแบบเม็ด เป็นยารับประทานมักใช้ร่วมกับการรักษาเฉพาะที่เพื่อรักษาสิวที่รุนแรง ส่วนใหญ่ใช้ยาดอกซีไซคลีนเตตราไซคลีน (Doxycycline) แต่สำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรจะใช้ยาอม็อกซีซิลินอิโทรมัยซิน (Amoxycillin) ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 6 เดือน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผิวด้วย

การรักษาด้วยฮอร์โมน

การรักษาด้วยฮอร์โมนมักเหมาะกับผู้หญิงที่เป็นสิวฮอร์โมน ที่เกิดสิวอาจเกิดขึ้นเฉพาะบางช่วงเวลา เช่น กลุ่มอาการรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ ซึ่งรักษาด้วยยาเม็ดคุมกำเนิดแบบผสมจะทำให้สิวดีขึ้นตามลำดับ แต่อาจใช้ระยะเวลานานถึง 1 ปี

Co-cyprindiol

Co-cyprindiol เป็นการรักษาด้วยฮอร์โมนมักใช้รักษาสิวที่รุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ช่วยลดการผลิตน้ำมันบนผิว อาจใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 2 – 6 เดือน

ผลข้างเคียงอาจทำให้ปวดหัว เจ็บหน้าออก อารมณ์แปรปรวน อารมณ์ทางเพศลดลง และผู้หญิงอาจมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมในอนาคตได้

ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin)

ไอโซเตรติโนอิน เป็นยารับประทานชนิดแคปซูล ใช้รักษาสิวที่มีอาการรุนแรงและมีผลดีหลายประการ ดังนี้

  • ลดปริมาณการผลิตน้ำมันบนผิวและปรับสมดุลความมันให้ปกติ
  • ช่วยป้องกันการอุดตันในรูขุมขน
  • ลดปริมาณแบคทีเรียบนผิวหนัง
  • ช่วยลดรอยแดงและบวมบริเวณที่เกิดสิว

การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ผิวไวต่อแสงแดดมาก ตาแห้ง คอแห้ง จมูกแห้ง มีผลกับค่าตับอักเสบปวดหัว ปวดเมื่อยร่างกาย และมีผลทำให้ทารกในครรภ์พิการ จึงห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์

การรักษาที่ไม่ใช้ยา

  • การกดสิว (Comedone extractor) เป็นเครื่องมือรูปทรงปากกาขนาดเล็กใช้กดสิวประเภทสิวหัวดำและสิวหัวขาว
  • การลอกผิวด้วยสารเคมี ใช้สารละลายเคมีบนใบหน้าทำให้ผิวลอก และให้ผิวใหม่เกิดขึ้นแทนที่
  • การรักษาด้วยแสง (photodynamic therapy) ฉายแสงที่ผิวหนังทำให้อาการของสิวดีขึ้น

วิธีการรักษาแบบไม่ใช้ยาเหล่านี้อาจไม่ทำให้สิวหายขาดได้ และไม่ควรใช้รักษาสิวเป็นประจำ

การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง

การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อจัดการสิว

การดูแลผิวเพื่อป้องกันการเกิดสิวและบรรเทาไม่ให้ปัญหาสิวรุนแรงขึ้น สามารถทำได้ดังนี้

  • ทำความสะอาดบริเวณที่เป็นสิวด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน โดยทำความสะอาดวันละ 2 ครั้ง และถ้าผมมันมากควรสระผมทุกวันด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน
  • ควรอาบน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังทำกิจกรรมที่ใช้กำลังหรือมีเหงื่อออกมาก เพราะเหงื่อบนผิวอาจก่อให้เกิดสิวได้
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บางชนิดที่อาจเพิ่มความมันหรือความระคายเคืองผิว เช่น เครื่องสำอางที่มีน้ำมัน ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม และไม่ควรขัดผิวมากเกินไปด้วย
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด ยารักษาสิวบางชนิดอาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงควรใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวเป็นประจำ
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีส่วนประกอบของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) ซาลิไซลิก (Salicylic acid) กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) หรือกรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha hydroxy acids) เพื่อช่วยขจัดน้ำมันส่วนเกิน และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว
  • หลีกเลี่ยงการเสียดสี หรือแรงกดบนผิว เพราะอาจเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ หมวก หรือเป้สะพายหลัง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะเกาบริเวณที่เป็นสิว เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือเกิดแผลเป็นได้

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

แพทย์หญิงอัญชิสา กาญจโนมัย

โรคผิวหนัง · พรเกษมคลินิก


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 31/12/2022

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา