backup og meta

อาการก่อนเป็นประจำเดือน (PMS) พร้อมวิธีรับมือที่ควรรู้

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 08/11/2022

    อาการก่อนเป็นประจำเดือน (PMS) พร้อมวิธีรับมือที่ควรรู้

    อาการก่อนเป็นประจำเดือน (Premenstrual syndrome หรือ PMS) เป็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนเป็นประจำเดือน มักส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกาย จิตใจและอารมณ์ ผู้หญิงแต่ละคนอาจมีอาการก่อนเป็นประจำเดือนที่อาจแตกต่างกันทั้งรูปแบบและความรุนแรงของอาการ เช่น ปวดหลัง ปวดท้อง เจ็บบริเวณหน้าอก ฉุนเฉียวง่าย อารมณ์อ่อนไหว ซึมเศร้า ทั้งนี้ ควรศึกษาอาการที่เกิดขึ้นเพื่อเตรียมรับมืออย่างถูกวิธี โดยทั่วไปแล้ว ภาวะนี้สามารถรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น การออกกำลังกาย การงดสูบบุหรี่ อย่างไรก็ตาม หากปรับพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

    อาการก่อนเป็นประจำเดือน คืออะไร

    อาการก่อนเป็นประจำเดือน (Premenstrual syndrome หรือ PMS) คือ กลุ่มอาการผิดปกติด้านร่างกายและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไข่ตก ก่อนที่ประจำเดือนจะเริ่มต้นประมาณ 1 สัปดาห์ โดยปกติแล้วอาการก่อนเป็นประจำเดือนจะหายไปภายใน 1-2 วันหลังมีประจำเดือน แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าอาจเกิดจากปัจจัยภายใน เช่น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงที่เป็นประจำเดือน คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า หรือปัจจัยภายนอก เช่น การไม่ออกกำลังกาย ความเครียดสะสม การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่

    สัญญาณของ อาการก่อนเป็นประจำเดือน

    สัญญาณที่อาจแสดงถึงอาการก่อนเป็นประจำเดือน มีดังนี้

    สัญญาณด้านร่างกาย 

    • ปวดศีรษะ
    • สิวขึ้น
    • เจ็บบริเวณเต้านม
    • ปวดข้อ
    • ปวดกล้ามเนื้อ
    • หิวบ่อย
    • ท้องอืด
    • ท้องผูกหรือท้องเสีย
    • ปวดหลัง
    • น้ำหนักเพิ่มขึ้น
    • เหนื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย
    • มีภาวะไม่ทนต่อแอลกอฮอล์ (Alcohol intolerance)

    สัญญาณด้านอารมณ์และพฤติกรรม 

    • รู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล
    • รู้สึกซึมเศร้า ร้องไห้บ่อยครั้ง
    • มีปัญหาเรื่องการนอน เช่น นอนไม่หลับ
    • อารมณ์แปรปรวน ฉุนเฉียวง่าย
    • ปลีกตัวออกจากคนอื่น
    • หลงลืมง่าย
    • จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ๆ ไม่ได้

    วิธีรับมืออาการก่อนเป็นประจำเดือน

    การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่อาจช่วยบรรเทาอาการก่อนเป็นประจำเดือน  เช่น

    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เลือกออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที/วัน หรือ 150 นาที/สัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นปานกลาง เช่น การปั่นจักรยาน การเดินเร็ว ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก หรือเลือกออกกำลังกายอย่างน้อย 75 นาที/สัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง เช่น ดึงข้อ (Pull-ups) กระโดดตบ กระโดดเชือก
    • อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ทำให้เครียดง่าย
    • นอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง
    • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
    • หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีน ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว ส่งผลทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะในบุหรี่มีสารนิโคติน (Nicotine) ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง และอาจทำให้หงุดหงิดง่ายเมื่อไม่ได้สูบบุหรี่

    การรักษาทางการแพทย์ที่อาจช่วยบรรเทา อาการก่อนเป็นประจำเดือน ได้ เช่น

    • การบำบัดด้วยการพูดคุย (Talk therapy) กับนักจิตวิทยาการปรึกษา ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีการรับมือกับความรู้สึกซึมเศร้าและวิตกกังวลในช่วงที่เกิดอาการก่อนประจำเดือนและช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น
    • การใช้ยาดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตามคำแนะนำของคุณหมอและเอกสารประกอบยาอย่างเคร่งครัด
    • ยาแก้ปวด (Painkiller) เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) ยานาพรอกเซน (Naproxen) เพื่อบรรเทาปวด มีวางขายตามร้านขายยาทั่วไป
    • ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) เพื่อลดอาการบวมน้ำที่เกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนแปรปรวน
    • ยาระงับภาวะวิตกกังวล (Anti-anxiety medicine) เพื่อคลายความกังวล และทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
    • ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) เพื่อปรับความสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง (Neurotransmitters) ช่วยให้อารมณ์เป็นปกติ

    เมื่อไหร่ควรปรึกษาคุณหมอ

    หากลองปรับพฤติกรรมหรือกินยาตามอาการแล้ว แต่อาการก่อนเป็นประจำเดือนยังแย่ลงเรื่อย ๆ และเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต เช่น ปวดท้องจนไม่สามารถไปทำงานได้ รู้สึกซึมเศร้าจนไม่สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งอาจช่วยป้องกันไม่ให้อาการนี้พัฒนาไปเป็นกลุ่มอาการอารมณ์ผิดปกติก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Dysphoric Disorder หรือ PMDD) ที่มีความรุนแรงมากกว่าทั้งในด้านอารมณ์และพฤติกรรม เช่น มีอาการแพนิคอย่างรุนแรง มีความรู้สึกซึมเศร้าอย่างหนัก มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น หรือร้ายแรงถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย หากอาการพัฒนาไปเป็นกลุ่มอาการอารมณ์ผิดปกติก่อนมีประจำเดือนแล้ว จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้ชีวิตและส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    พลอย วงษ์วิไล


    เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 08/11/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา