backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eyes/Amblyopia)

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 31/12/2022

โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eyes/Amblyopia)

โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eyes หรือ Amblyopia) เป็นภาวะที่ดวงตาและสมองไม่ทำหน้าที่สอดประสานกันอย่างที่ควรจะเป็น เด็กที่ต้องเผชิญกับโรคนี้ มักมีดวงตาที่มองเห็นได้ดีเพียงข้างเดียว ขณะที่อีกข้างมีการมองเห็นแย่กว่า

คำจำกัดความ

โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eyes/Amblyopia) คืออะไร

โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eyes หรือ Amblyopia) เป็นภาวะที่ดวงตาและสมองไม่ทำหน้าที่สอดประสานกันอย่างที่ควรจะเป็น เด็กที่ต้องเผชิญกับโรคนี้ มักมีดวงตาที่มองเห็นได้ดีเพียงข้างเดียว ขณะที่อีกข้างมีการมองเห็นแย่กว่า

  • หากได้รับการวินิฉัยและรักษาตั้งแต่เริ่มต้น สามารถป้องกันปัญหาการมองเห็นของเด็กได้ในระยะยาว สายตาขี้เกียจนั้นไม่ใช่อาการรุนแรงและสามารถแก้ไขได้ด้วยการสวมแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ หรือผ้าปิดตา แต่ในบางกรณีอาจต้องได้รับการผ่าตัด
  • หากไม่ได้รับการรักษาอาการที่เหมาะสมทันท่วงที สมองของเด็กอาจจะไม่ยอมรับรู้ภาพเห็นจากดวงตาข้างที่มีปัญหา ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อการมองเห็นของดวงตาข้างนั้นได้อย่างถาวร

โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eyes/Amblyopia) พบได้บ่อยเพียงใด

โรคตาขี้เกียจ พบได้บ่อยมาก ส่วนใหญ่มักส่งผลกระทบในเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งราวอายุ 8 ขวบ โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาและข้อมูลในการรักษาเพิ่มเติม

อาการ

อาการของ โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eyes/Amblyopia)

โดยทั่วอาการของ โรคตาขี้เกียจ ได้แก่

  • ตาข้างหนึ่งมักหลบใน หรือเหล่ออกด้านนอก
  • ดวงตาทั้งสองข้างทำงานไม่สอดประสานกัน
  • การรับรู้ความลึกแย่หรือบกพร่อง
  • ตาเหล่ หรือตาปิดไปข้างหนึ่ง
  • คอเอียงด้านใดด้านหนึ่ง
  • ผลการตรวจตาผิดปกติ
  • ซุ่มซ่ามเดินชนสิ่งของ
  •  มองเห็นภาพซ้อน

นอกจากนี้ หากมีอาการที่ไม่ได้ระบุข้างต้น หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการดังกล่าว โปรดปรึกษาแพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยต่อไป

เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ

  • ควรปรึกษาแพทย์หากพบว่าบุตรหลานมีอาการตาเหล่ทันทีหลังจากที่พบเห็นในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด
  • ควรรีบพาไปตรวจสายตาทันทีในกรณีที่ครอบครัวมีประวัติปัญหาด้านสายตา ตาเหล่ อาการต้อกระจกในเด็ก หรือมีปัญหาอื่นๆ ด้านสายตา สำหรับเด็ก ควรรีบตรวจรักษาตั้งแต่ในช่วงอายุ 3-5 ปี

สาเหตุ

สาเหตุของโรคตาขี้เกียจ

อะไรก็ตามที่ทำให้เด็กมองเห็นไม่ชัดหรือเป็นสาเหตุให้เด็กต้องหรี่ตาหรือปิดตา อาจส่งผลให้เกิด โรคตาขี้เกียจ ได้

โดยสาเหตุทั่วไปของโรคตาขี้เกียจ ได้แก่

  • กล้ามเนื้อทำงานได้ไม่สมดุล (strabismus) โดยส่วนใหญ่สาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคตาขี้เกียจนั้นมักเกิดจากการที่กล้ามเนื้อตานั้นทำงานไม่สมดุลกัน
  • ดวงตาทั้งสองข้างมองเห็นภาพคมชัดไม่เท่ากัน (refractive anisometropia) ความแตกต่างระหว่างการมองเห็นของดวงตาทั้งสองข้างนั้นบ่อยครั้งเกิดจากอาการสายตายาว หรือ สายตาสั้น หรือ พื้นผิวของดวงตาไม่สมบูรณ์ หรือที่เรียกว่า สายตาเอียง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการตาขี้เกียจได้
  • ดวงตาสูญเสียการมองเห็น คืออีกหนึ่งของปัญหาดวงตาข้างหนึ่งทำงานไม่สมดุล ซึ่งเพราะอาจเกิดฝ้าขุ่นขาวในเลนส์ตาหรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ ต้อกระจก นั่นเอง ทำให้สูญเสียการมองเห็นของตาข้างนั้นไป

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดตาขี้เกียจ

มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิด โรคตาขี้เกียจ ได้แก่

  • ตาเข
  • กรรมพันธุ์ สมาชิกในครอบครัวมีอาการของ โรคตาขี้เกียจ
  • ความแตกต่างของระดับการมองเห็นของดวงตาแต่ละข้าง
  • ดวงตาข้างหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
  • เปลือกตาข้างหนึ่งบวม
  • ได้รับวิตามิน A ไม่เพียงพอ
  • เป็นแผลที่กระจกตา
  • การผ่าตัดตา
  • มีปัญหาสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง
  • ต้อหิน มีแรงดันในลูกตาสูง อาจก่อให้เกิดปัญหาสายตาและอาการตาบอดตามมา
  • ความบกพร่องทางสมอง

การวินิจฉัยและการรักษา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยโรคสายตาขี้เกียจ

วิธีที่ใช้ในการทดสอบสายตาขึ้นอยู่กับช่วงอายุของเด็กและขั้นตอนของพัฒนาการ

  • เด็กวัยก่อนพูด  อุปกรณ์แว่นขยายแสง (lighted magnifying device) สามารถใช้เพื่อตรวจอาการต้อกระจกในเด็กได้ นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการทดสอบอื่นๆ ในเด็กแบเบาะหรือวัยเตาะแตะเพื่อดูความสามารถในการมองเห็นของเด็กและการมองตามสิ่งของที่เคลื่อนไหว
  • เด็กตั้งแต่วัย 3 ขวบหรือมากกว่า สามารถทำการทดสอบได้ด้วยภาพหรือตัวอักษรเพื่อตรวจประเมินการมองเห็นของเด็ก ด้วยการปิดตาทีละข้างและทำการทดสอบ

การรักษาโรคตาขี้เกียจ

มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเริ่มทำการรักษาเด็กที่มีอาการตาขี้เกียจอย่างเร่งด่วนตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก ควรเริ่มทำการรักษาตั้งแต่ก่อนอายุ 7 ขวบ จะได้ผลดีที่สุด และกว่าครึ่งของเด็กที่อายุระหว่าง 7 ขวบ ถึง 17 ปี นั้นก็ตอบสนองการรักษาด้วยเช่นกัน

การรักษานั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการของ โรคตาขี้เกียจ และขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นของเด็ก

  • ใช้แว่นตาที่เหมาะสม
  • ปิดตา เพื่อกระตุ้นการมองเห็นในดวงตาที่มีปัญหา เด็กอาจสวมใส่ผ้าปิดตาด้านที่มองเห็นได้ดี
  • ติดแผ่นกรองแสง (Bangerter filter) ในขั้นตอนนี้ จะใช้แผ่นกรองแสงชนิดพิเศษวางลงบนเลนส์แว่นตาข้างที่มองเห็นได้ดี แผ่นกรองแสงจะทำหน้าที่บดบังสายตาด้านที่แข็งแรง ทำงานคล้ายกับ ที่ปิดตา เพื่อกระตุ้นดวงตาด้านที่มีปัญหา
  • ยาหยอดตา เด็กอาจได้รับยาหยอดตาที่เรียกว่า อะโทรพีน (Isopto Atropine) หยอดในดวงตาด้านที่แข็งแรงกว่าเพื่อทำให้ดวงตาด้านที่แข็งแรงพร่ามัว เพื่อกระตุ้นให้เด็กใช้สายตาด้านที่อ่อนแอกว่า และเสนอทางเลือกอื่นเช่นการสวมที่ปิดตา
  • หากมีอาการตาเข ตาเหล่ อาจจำเป็นต้องมีการผ่าตัดกล้ามเนื้อดวงตา
  • การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง

    การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาเตัวเองเพื่อรับมือกับโรคตาขี้เกียจ

    การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตนเองเบื้องต้นอาจช่วยคุณรับมือกับ โรคตาขี้เกียจ ได้แก่

    • อาการตาขี้เกียจสามารถป้องกันได้หากพบเห็นตั้งแต่ระยะแรกและทำการรักษาอาการตาเหล่ สายตาเอียง ต้อกระจก และปัญหาทางการมองเห็นอื่นๆ
    • มีวิธีการมากมายที่ใช้ตรวจอาการตาขี้เกียจ ด้วยเทคนิคเฉพาะทางที่มีความละเอียด ซับซ้อนและมีราคาที่แตกต่างกันไป รวมถึงการตรวจสุขภาพดวงตาโดยจักษุแพทย์ ตรวจด้วยแสง ตรวจคลื่นไฟฟ้าเส้นประสาทตา การวัดระดับการมองเห็น ตรวจการมองเห็นสามมิติ
    • เด็กที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการตาขี้เกียจควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อพบเห็นสัญญาณเตือนของอาการ
    • โดยทั่วไป ยิ่งได้รับการตรวจพบอาการตาขี้เกียจและได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่ ย่อมจะส่งผลเสียน้อยต่อระบบการมองเห็น
    • การตรวจการมองเห็นนั้นมักได้รับการสนับสนุนในระดับจังหวัด เพื่อทำการตรวจคัดกรองเด็กที่อาจมีอาการตาขี้เกียจในวัยอนุบาล ซึ่งได้การตรวจคัดกรองนี้ส่งผลดีต่อการมองเห็นของเด็กในระยะยาว

    หากมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นถึงวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 31/12/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา