การ ทดสอบอัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซิน หรือ(AAT) เครดิตภาพ: bloodtestslondon.com
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ
การ ทดสอบอัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซิน หรือ(AAT) เครดิตภาพ: bloodtestslondon.com
กระบวนการ ทดสอบอัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซิน หรือ(AAT) เป็นการทดสอบเพื่อวัดระดับสาร AAT ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งในเลือด ที่ทำหน้าที่ป้องกันปอดไม่ให้ถูกทำลายจากเอนไซม์ต่างๆ ในเลือด การทดสอบต่างๆ ที่สัมพันธ์กันสามารถตัดสินได้ว่า ผู้ป่วยคนนั้นได้รับการถ่ายทอดโปรตีน AAT ที่มีความผิดปกติในรูปแบบใด
หน้าที่หลักของAAT คือการช่วยยับยั้งการออกฤทธิ์ของเอนไซม์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอีลาสเตส (Elastase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สร้างโดยเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟีล (Neutrophils) และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตอบสนองต่อการบาดเจ็บและการอักเสบตามปกติ โดยอีลาสเตสจะย่อยโปรตีนต่างๆ เพื่อให้ร่างกายสามารถกำจัดและนำกลับมาใช้ได้ใหม่ ซึ่งถ้าหากไม่มี AAT คอยควบคุมแล้วล่ะก็ อีลาสเตสก็จะเริ่มย่อยสลายและทำลายเนื้อเยื่อปอดไปด้วย
เหตุผลที่ต้องทำการทดสอบอัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซินมีดังนี้ :
การทดสอบอัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซิน ฟีโนไทด์ (Alpha-1 antitrypsin genotype testing หรือการตรวจ DNA) สามารถใช้เป็นตัวตั้งต้นยีน SERPINA1 รวมถึงยีน M ตามปกติ หรือรูปแบบของยีนชนิดอื่นๆ การทดสอบนี้ไม่ได้เป็นการระบุเอกลักษณ์ของยีนที่ต่างจากปกติ แต่จะใช้ดูยีนแบบธรรมดาที่สุด (คู่ S และ Z) เช่นเดียวกับยีนที่มีความต่างจากปกติ ซึ่งอาจพบได้ทั่วไปหรือในครอบครัว เมื่อยีน SERPINA1 ส่งผลกระทบถึงใครแล้ว ก็ต้องทำการทดสอบสมาชิกในครอบครัวของผู้นั้นด้วย เพื่อดูว่ามีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่การเกิดโรคถุงลมโป่งพอง และ/หรือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับตับ และอาจจะถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกหรือไม่
การทดสอบอัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซินอาจจะใช้ในกรณีต่อไปนี้:
เด็กทารกเกิดภาวะดีซ่านที่นานกว่า 1 หรือ 2 สัปดาห์ ภาวะม้ามโต ภาวะที่มีของเหลวในช่องท้อง (ฝี) อาการคันเรื้อรัง และสัญญาณอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าตับถูกทำลาย
ผู้ที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ที่มีอาการหายใจมีเสียงหวีด ไอเรื้อรังหรือหลอดลมอักเสบ มีภาวะหายใจไม่ทันหลังใช้แรงมากๆ และ/หรือ มีสัญญาณของโรคถุงลมโป่งพอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้นั้นไม่ได้สูบบุหรี่ และไม่เคยสัมผัสกับสารที่ระคายเคืองปอด รวมทั้งเมื่อมีความเสียหายปรากฏขึ้นในบริเวณส่วนล่างของปอด
ผู้ที่มีญาติสนิทที่มีภาวะขาดเอนไซม์อัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซิน
ผู้ที่มีครอบครัวมีสมาชิกในครอบครัวได้รับผลกระทบ และต้องการรู้ว่าลูกๆจะมีโอกาสได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่
AAT เป็นตัวทำปฏิกิริยาแบบฉับพลัน จึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นในกรณีที่เกิดการอักเสบเรื้อรังหรือเฉียบพลัน การติดเชื้อและในโรคมะเร็งบางชนิด การเพิ่มขึ้นของระดับ AAT อาจพบได้ในผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด ตั้งครรภ์ และมีความเครียด การเพิ่มขึ้นของ AAT แบบยาวนานแม้เพียงแค่ชั่วคราว ก็อาจทำผู้ที่มีภาวะขาด AAT ระดับความรุนแรงน้อยถึงปลานกลางดูเป็นปกติได้
ระดับของเอเอทีอาจลดลงได้ ในกรณีที่มีภาวะที่ทำให้เกิดการลดลงของโปรตีนเซรั่ม เช่น โรคไต ภาวะขาดสารอาหาร และมะเร็งบางชนิด
ระดับ AAT อาจลดลงได้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบาก ในทารกแรกเกิด และในผู้ที่อยู่ในภาวะโปรตีนในน้ำเหลืองลดลง เช่นโรคไต ภาวะขาดสารอาหาร และมะเร็งบางชนิด
การเตรียมการสำหรับทดสอบอัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซินทำอย่างไร
สิ่งที่ท่านต้องเตรียมก่อนการทดสอบนั้นมีอยู่มากมายหลายประการ ซึ่งรวมถึง:
ในระหว่างการทดสอบท่านจะมีอาการดังนี้:
ตัวอย่างเลือดที่เก็บจากแขนซึ่งมีแถบบางยืดอีลาสติครัดบริเวณต้นแขน ดังนั้นจึงอาจรู้สึกรัดและไม่สะดวกสบายบ้าง ท่านอาจไม่รู้สึกอะไรเลยจากเข็มหรืออาจรู้สึกเจ็บเหมือนถูกแทนหรือหยิบแบบเร็วๆได้
มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาน้อยมากจากการเก็บตัวอย่างเลือดจากเส้นเลือดดำ
ประการแรก คุณอาจมีรอยช้ำเป็นบริเวณบริเวณเล็กๆ อย่างไรก็ตามคุณสามารถลดโอกาสที่จะเกิดการช้ำได้โดยกดบริเวณที่ถูกเจาะไว้ซักระยะหนึ่ง
ในบางกรณีซึ่งพบไม่บ่อยนัก เส้นเลือดดำอาจบวมหลังจากการเจาะตัวอย่างเลือดไปตรวจซึ่งเรียกว่าภาวะหลอดเลือดดำอักเสบ การประคบร้อนวันละหลายๆ ครั้งจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ นอกจากนี้การเกิดภาวะเลือดออกก็สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ อีกทั้งการใช้ยาบางชนิดเช่น แอสไพริน วาร์ฟาริน (Coumadin) และยาลดการเกาะตัวของเม็ดเลือดอื่นๆ ก็อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกมากขึ้นได้ ถ้าท่านมีภาวะเลือดเลือดออกผิดปกติ หรือมีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด หรือกำลังรับประทานยาลดการเกาะตัวของเลือด กรุณาแจ้งแพทย์ก่อนทำการเก็บตัวอย่าง
หากท่านมีข้อสงสัยใดๆเกี่ยวกับการทดสอบอัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซิน กรุณาปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจได้มากขึ้น
การมีระดับ AAT ในเลือดต่ำบ่งบอกว่าผู้นั้นอาจมีภาวะขาดเอนไซม์อัลฟ่าวัน แอนตี้ทริปซิน ยิ่งมีระดับ AAT ต่ำเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มจะเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้มากเท่านั้น
ในผู้ที่มี AAT ชนิดที่ผิดปกตินั้น ความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปเป็นโรคก็จะขึ้นอยู่กับว่า ร่างกายผลิต AAT ที่ผิดปกติขึ้นมามากขนาดไหน และมีค่าความแตกต่างประมาณไหน ค่าความแตกต่างน้อยๆ อาจนำไปสู่การเกิดโรคทั้งถุงลมโป่งพอง (เพราะมันไม่ได้ช่วยปกป้องปอด) และโรคตับ (เนื่องจากมีการผลิต AAT ขึ้นในเซลล์ตับ)
คนส่วนใหญ่จะมีรูปแบบยีนปกติมากมายซึ่งจะทำให้สามารถผลิต AAT ได้เพียงพอ
หากผลการทดสอบดีเอ็นเอระบุว่ามีความผิดปกติของยีน SERPINA1 จำนวน 1 หรือ 2 ชุด ก็จะทำให้การผลิต AAT เกิดความผิดปกติหรือผลิตได้น้อย ซึ่งจะทำให้อยู่ในภาวะขาด AAT และระดับความเสียหายของปอดและ/หรือตับก็อาจแปรปรวนได้อย่างมาก โปรดปรึกษาแพทย์หากท่านมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลการทดสอบ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย
ทีม Hello คุณหมอ
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย