backup og meta

การฉีดไฟเซอร์ในเด็ก ข้อมูลต่าง ๆ ที่ควรรู้

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 26/01/2022

    การฉีดไฟเซอร์ในเด็ก ข้อมูลต่าง ๆ ที่ควรรู้

    สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทย ได้อนุญาตให้มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เพื่อป้องกันเด็ก ๆ จากการติดเชื้อโควิด-19 และความเสี่ยงต่าง ๆ โดยการฉีดไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปีจะเริ่มตั้งแต่ 31 มกราคม พ.ศ. 2565 ทั้งนี้ ผู้ปกครองควรทำความเข้าใจในข้อมูลของวัคซีนไฟเซอร์ การเตรียมความพร้อมก่อนพาลูกหลานไปฉีดวัคซีน รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของลูกหลาน

    วัคซีนไฟเซอร์ คืออะไร มีความปลอดภัยแค่ไหน

    วัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) หรือมีชื่อทางการว่า BNT162b2 เป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด mRNA (Messenger Ribonucleic Acid) เช่นเดียวกับวัคซีนโมเดอร์นา BNT162b2 คิดค้นโดยบริษัทเวชภัณฑ์อเมริกัน ไฟเซอร์ ร่วมกับบริษัทสัญชาติเยอรมันไบออนเทค (BioNTech)

    เมื่อฉีดไฟเซอร์เข้าสู่ร่างกาย สารพันธุกรรม mRNA ในวัคซีนจะสอนให้ร่างกายสร้างโปรตีนเฉพาะของไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ขึ้นมา วิธีนี้จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างแอนติบอดีเพื่อต่อสู้กับโปรตีนดังกล่าวในฐานะสิ่งแปลกปลอม และเมื่อ SARS-CoV-2 เข้ามาในร่างกายจริง ๆ ร่างกายของผู้ได้รับวัคซีนก็จะต่อสู้กับไวรัส

    mRNA เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยสูง และสามารถปรับปรุงพัฒนาวัคซีนเพื่อรองรับการกลายพันธุ์ของไวรัสได้ง่าย

    ปริมาณของวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็ก

    เด็กอายุ 5-11 ปี จะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ปริมาณ 0.2 มิลลิลิตร โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ซึ่งการฉีดไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 5-11 ปี มีประสิทธิภาพป้องกันโรคโควิด-19 สูงถึง 90.7% อ้างอิงจากข้อมูลของผู้ผลิตวัคซีน นอกจากนี้ การศึกษาซึ่งนำโดยกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอล ยังชี้ว่า การฉีดวัคซีนในเด็กช่วยลดความเสี่ยงติดโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนได้ราว 50% เมื่อเทียบกับเด็กซึ่งยังไม่ได้รับวัคซีน

    ปัจจุบัน หลายประเทศอนุญาตให้เด็กอายุ 5-11 ปี ฉีดวัคซีนฉีดไฟเซอร์แล้ว ทั้งสหรัฐอเมริกา อิสราเอล ฝรั่งเศส สิงคโปร์ และญี่ปุ่น

    ทำไมต้องพาเด็กไปฉีดไฟเซอร์

  • เพื่อป้องกันเด็กอายุ 5-11 ปีจากโควิด-19 และป้องกันอาการรุนแรงที่เกิดจากโรค ซึ่งอาจอันตรายถึงชีวิต
  • เพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกในครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดติดโควิด-19 จากเด็ก โดยเฉพาะคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งป่วยได้ง่าย เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง โรคไตเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรัง เบาหวาน ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์
  • เพื่อให้เด็กสามารถไปโรงเรียน ทำกิจกรรมนอกบ้าน และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • คำแนะนำก่อนพาเด็กไปฉีดไฟเซอร์

    • อธิบายให้เด็ก ๆ เข้าใจถึงเหตุผลที่ต้องฉีดวัคซีน และเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เช่น ขั้นตอนการฉีด ความเจ็บปวด ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อลดความเครียดของเด็กในสถานการณ์จริง
    • ควรนำของเล่นหรือหนังสือติดไปด้วย เพราะสามารถทำให้เด็ก ๆ สบายใจและผ่อนคลาย นอกจากนี้ ในกรณีของเด็กที่กลัวเข็ม ผู้ปกครองอาจใช้ของเล่นเพื่อลดความเครียดและดึงความสนใจจระหว่างฉีดวัคซีนได้
    • ไม่ควรให้เด็กรับประทานยาแก้ปวดก่อนฉีดวัคซีน เพื่อให้แน่ใจว่าระบบภูมิคุ้มกันของเด็กจะตอบสนองต่อวัคซีนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยาแก้ปวดอาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงได้
    • หากลูกหลานเป็นภูมิแพ้ ควรแจ้งให้คุณหมอหรือพยาบาลทราบ
    • ควรให้เด็ก ๆ นั่งหรือนอนขณะฉีดวัคซีน หรือตอนพักดูอาการ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น

    ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนไฟเซอร์

    เช่นเดียวกับการฉีดไฟเซอร์ในบุคคลทั่วไป การฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปี อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ดังนี้

    • อาการปวด บวม แดง บริเวณที่ถูกฉีดวัคซีน
    • ปวดหัว
    • เหนื่อยล้า
    • ไข้
    • ปวดกล้ามเนื้อ
    • คลื่นไส้

    ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา แนะนำว่าผลข้างเคียงต่าง ๆ จะหายไปเองภายใน 2-3 วัน และมีความเป็นไปได้น้อยมาก ที่จะพบผลข้างเคียงที่รุนแรงหรืออันตรายถึงชีวิต เช่น

    • ภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน อาจมีอาการหัวใจเต้นแรง หายใจลำบาก คอบวม มีผื่นขึ้น
    • ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน อาจมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ขาบวม หรือปวดหัวอย่างรุนแรง ขึ้นกับบริเวณของร่างกายที่เกิดลิ่มเลือดอุดตัน
    • กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ อาจมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจเต้นแรงหรือใจสั่น

    หากผู้ปกครองพบอาการผิดปกติในลูกหลานหลังฉีดไฟเซอร์ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่หรือรีบพาลูกหลานไปพบคุณหมอทันที

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย


    เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 26/01/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา