เมื่อเซลล์ตอบสนองต่ออินซูลินได้แย่ลง หรือเกิดภาวะดื้ออินซูลิน เซลล์จึงไม่สามารนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง จนนำไปสู่โรคเบาหวาน เเละหากเป็นเบาหวานอยู่เดิมก็จะทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยากขึ้นจนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายตามมาได้ เช่น โรคหัวใจเเละหลอดเลือดสมอง โรคไต เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม
นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดชั้นไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง เรียกได้ว่า ภาวะลงพุง (เเม้จะมีนำหนักไม่เกินเกณฑ์) ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของงการสูบบุหรี่และไขมันหน้าท้องของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Preventive Medicine and Public Health ปี พ.ศ. 2555 พบว่า การสูบบุหรี่สัมพันธ์กับขนาดหน้าท้องและรอบเอวของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จริง
ทั้งนี้โดยสรุป คือ การสูบบุหรี่จะทำให้ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เเละในผู้ที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวานแต่หากสูบบุหรี่ก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้มากถึง30-40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
เลิกบุหรี่ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน
เมื่อเลิกสูบบุหรี่ การตอบสนองของเซลล์ต่ออินซูลินจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2 เดือน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานอาจยังคงอยู่ในช่วง 3 ปีแรกหลังเลิกสูบบุหรี่มีการศึกษาเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ การเลิกสูบบุหรี่ ในเเง่ของปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2ตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine พ.ศ. 2553 ทีมผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลของผู้เข้าร่วมการศึกษา ซึ่งมีทั้งผู้ที่สูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ และผู้ที่เลิกสูบบุหรี่แล้ว ติดตามไปเป็นระยะเวลากว่า 15 ปี พบว่า ผู้ที่เลิกสูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีแรกหลังเลิกสูบบุหรี่ หลังจากนั้นความเสี่ยงจะค่อย ๆ ลดลงจนแทบเป็นศูนย์หลังเลิกสูบบุหรี่ไปแล้ว 12 ปี
การเลิกบุหรี่นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ยังมีผลดีต่อร่างกายอาทิเช่น
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย