backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

DKA (ภาวะเลือดเป็นกรด) อาการ ความเสี่ยง การรักษา

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย นายแพทย์กมล โฆษิตรังสิกุล · โรคเบาหวาน · โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 30/04/2023

DKA (ภาวะเลือดเป็นกรด) อาการ ความเสี่ยง การรักษา

DKA (Diabetic Ketoacidosis) หรือ ภาวะเลือดเป็นกรด เป็นภาวะแทรกซ้อนหนึ่งของโรคเบาหวาน เกิดขึ้นจากร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานได้ อาจเกิดจากร่างกายขาดอินซูลิน หรือมีภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน ทำให้มีน้ำตาลสะสมในเลือดมากเกินไปเป็นเวลานาน หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาทันเวลาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้  ทั้งนี้ DKA มักเกิดกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 มากกว่าชนิดที่ 2 และสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพและรักษาระดับน้ำตาลในเลือด

คำจำกัดความ

DKA คืออะไร

DKA คือ ภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวาน เกิดจากร่างกายผู้ป่วยผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอ โดยอินซูลินมีหน้าที่ลำเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานให้ร่างกาย เมื่ออินซูลินผลิตได้น้อย พลังงานจากน้ำตาลที่ได้จึงลดลงตามไปด้วย ร่างกายผู้ป่วยจะสร้างพลังงานทดแทนด้วยการย่อยสลายไขมัน ซึ่งทำให้เกิดสารที่เรียกว่า คีโตน (Ketone) ในเลือด หากมีคีโตนสะสมอยู่ในเลือดมากจะส่งผลให้เลือดเป็นกรด

อาการ

อาการของ DKA

หากผู้ป่วยเบาหวานเกิดภาวะ DKA มักแสดงอาการภายใน 24 ชั่วโมง ดังนี้

  • ปวดศีรษะ
  • กระหายน้ำมาก
  • ปัสสาวะบ่อย
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • อ่อนเพลีย
  • หายใจติดขัด
  • ลมหายใจเปรี้ยว
  • ผิวแห้ง ปากแห้ง
  • ระดับคีโตนในเลือดสูง

ภาวะแทรกซ้อนของ DKA

ภาวะแทรกซ้อนของการรักษาภาวะ DKA

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
  • สมองบวม

แต่หากผู้ป่วยเบาหวานเกิดภาวะเลือดเป็นกรดแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจหมดสติ และเสียชีวิตได้

สาเหตุ

สาเหตุของ DKA

สาเหตุหลักของภาวะ DKA มีอยู่ 2 ประการ คือ

  1. ความเจ็บป่วยของร่างกาย เช่น การติดเชื้อ หรืออวัยวะทำงานผิดปกติ ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนบางชนิดในปริมาณสูงเกินไป เช่น อะดรีนาลีน (Adrenaline) คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของอินซูลิน โดยส่วนใหญ่มักส่งผลให้เป็นโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และนำไปสู่ภาวะเลือดเป็นกรด
  2. อินซูลินไม่เพียงพอซึ่งมักเกิดจากการรักษาโรคเบาหวาน ในกรณีของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ และใช้อินซูลินปั๊มเพื่อส่งอินซูลินเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจทำงานผิดพลาดส่งอินซูลินให้ร่างกายได้ไม่เพียงพอ หรือในกรณีของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งอาจได้รับอินซูลินไม่ครบโดส ทำให้ร่างกายขาดอินซูลิน จนนำไปสู่การที่ร่างกายต้องย่อยไขมันเป็นพลังงาน ทำให้เกิดสารคีโตนสะสมในเลือด

นอกจากนี้ DKA อาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ เช่น

  • โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
  • การตั้งครรภ์
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติด
  • ยาบางชนิด เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids)

เมื่อไรควรไปพบคุณหมอ

ผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบคุณหมอ เพราะอาจเป็นสัญญาณของ DKA

  • คลื่นไส้อาเจียน หรือเมื่อร่างกายปฏิเสธอาหาร รับประทานเข้าไปแล้วอาเจียนออกมา
  • ระดับน้ำตาลในเลือดสูงประมาณ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากระดับคีโตนที่สูงมากในร่างกาย
  • เหนื่อยจัดอ่อนเพลียเกิดอาการช็อคไม่รู้สึกตัว
  • อาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น กระหายน้ำมากปวดท้องอ่อนเพลีย

การวินิจฉัยและรักษาโรค

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัย DKA

นอกจากการตรวจร่างกายโดยทั่วไป เช่น ซักประวัติ วัดความดัน วัดไข้ คุณหมอจะตรวจเลือดของผู้ป่วย เพื่อหาข้อมูลสำหรับยืนยันภาวะเลือดเป็นกรด ได้แก่

  • ระดับน้ำตาลในเลือด โดยผู้ป่วย DKA จะมีน้ำตาลในเลือดสูง หรือตั้งแต่ 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ขึ้นไป
  • ระดับคีโตน โดยผู้ป่วย DKA จะมีระดับคีโตนในเลือดสูง หรือตั้งแต่ 0.6 มิลลิโมล/ลิตร ขึ้นไป
  • ความเป็นกรดของเลือด โดยผู้ป่วย DKA จะมีค่ากรดในเลือดค่อนข้างสูง หรือมีค่า pH ที่ 7.35 หรือต่ำกว่า ซึ่งสามารถส่งผลกระทบการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้

นอกจากนี้ คุณหมออาจตรวจคนไข้ด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ทราบถึงความผิดปกติ หรือโรคแทรกซ้อน ดังนี้

  • ตรวจเกลือแร่ในเลือด (Blood Electrolyte Tests)
  • ตรวจปัสสาวะ
  • เอ็กซเรย์หน้าอก
  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram)

การรักษา DKA

เมื่อผู้ป่วยเบาหวาน ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะ DKA คุณหมอจะรักษาดังนี้

  • ให้ดื่มน้ำปริมาณมาก เพื่อทดแทนน้ำส่วนที่หายไปจากร่างกายเนื่องจากการปัสสาวะบ่อย และช่วยชดเชยปริมาณน้ำที่ร่างกายสูญเสียไปทางปัสสาวะจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงก่อนหน้านี้
  • ให้อิเล็กโทรไลต์ หรือให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด โดยอิเล็กโทรไลต์หมายถึงแร่ธาตุต่าง ๆ ในเลือด เช่น โซเดียม โพแทสเซียม คลอไรด์ ซึ่งจะลดลงเมื่อร่างกายขาดอินซูลิน
  • ให้อินซูลินทางเส้นเลือด เนื่องจากการขาดอินซูลิน เป็นต้นเหตุของ DKA

การปรับไลฟ์สไตล์และดูแลตัวเอง

เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ DKA ผู้ป่วยเบาหวานควรดูแลตัวเอง ด้วยวิธีการต่อไปนี้

  • ดูแลสุขภาพ ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือรับประทานอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป
  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ อาจตรวจประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน เพื่อสังเกตระดับน้ำตาลว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ตรวจระดับคีโตนสม่ำเสมอ ด้วยชุดตรวจคีโตน หากพบว่าอยู่ในระดับปานกลางหรือสูง ควรรีบไปพบคุณหมอ หากพบว่าอยู่ในระดับต่ำ ผู้ป่วยควรเพิ่มอินซูลินเข้าสู่ร่างกาย
  • คุยกับคุณหมอเรื่องปริมาณการใช้อินซูลิน ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยแต่ละคนต้องการปริมาณอินซูลินที่แตกต่างกัน เช่น ในกรณีไม่สบาย กรณีน้ำตาลในเลือดสูง เพื่อจะได้รับมือกับความผิดปกติต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

นายแพทย์กมล โฆษิตรังสิกุล

โรคเบาหวาน · โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 30/04/2023

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา