backup og meta

แนวทางการปฏิบัติตนเมื่อคนในครอบครัวป่วยเป็นเบาหวาน

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 24/03/2023

    แนวทางการปฏิบัติตนเมื่อคนในครอบครัวป่วยเป็นเบาหวาน

    เมื่อคนในครอบครัวป่วยเป็นเบาหวาน จำเป็นที่สมาชิกในครอบครัวต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวาน แนวทางการรักษา วิธีปฏิบัติตนที่ถูกต้องต่อผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งนี้ เพราะเบาหวานเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงแต่ประคองอาการ ด้วยการรับประทานยาหรือฉีดยา ปรับแผนโภชนาการและพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ และไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน นอกเหนือจากการดูแลร่างกายแล้ว การดูแลด้านจิตใจของผู้ป่วยเบาหวานก็สำคัญเช่นเดียวกัน

    ทำความรู้จักเบาหวาน

    เบาหวานเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้เมื่อฮอร์โมนอินซูลินในร่างกายทำงานผิดปกติ หรือเมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ หรือไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย โดยปกติอินซูลินมีหน้าที่ลำเลียงน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย เมื่ออินซูลินไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้น้ำตาลกลูโคสจึงสะสมอยู่ในเลือดและไม่ถูกส่งต่อไปยังเซลล์ของร่างกาย เมื่อเวลาผ่านไป น้ำตาลที่สะสมอยู่ในเลือดเป็นจำนวนมากจึงสร้างปัญหาสุขภาพ เกิดเป็นโรคร้ายและเรื้อรังที่เรียกว่า เบาหวาน นั่นเอง

    อาการผู้ป่วยเบาหวานชนิดต่าง ๆ

    อาการในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 มักเกิดขึ้นและแสดงอาการอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อาการจะค่อยๆ แสดงให้เห็นชัดเจนขึ้นอย่างช้า ๆ อาจใช้เวลาหลายปี แต่มีลักษณะของอาการเบาหวานร่วมกันดังนี้

    • กระหายน้ำและหิวบ่อย
    • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
    • ตาพร่า มองไม่ค่อยชัด
    • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
    • เป็นแผลแล้วหายช้า
    • อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
    • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

    นอกจากนั้นแล้ว ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เมื่ออาการเริ่มแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนและรุนแรงขึ้น อาจมีอาการเหล่านี้

    • ผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่น ผิวแห้งง่าย
    • มองไม่เห็น
    • ปวดเท้าหรือเท้าบวม
    • แขนขามีอาการชาหรือเป็นเหน็บ

    การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน

    เมื่อทราบว่าคนในครอบครัวป่วยเป็นเบาหวาน อาจทำให้สมาชิกที่เหลือรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งเรื่องการรับประทาน การจัดการเรื่องอาหาร การรับประทานยา การไปพบแพทย์ตามนัด โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังมีข้อควรระวังในการปฏิบัติตัวต่อผู้ป่วยเบาหวาน ดังนี้

    1. เมื่อทราบว่าคนในครอบครัวป่วยเป็นเบาหวาน ไม่ควรบ่น ดุ หรือตำหนิผู้ป่วยเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินหรือการใช้ชีวิตจนทำให้ผู้ป่วยเบาหวานรู้สึกผิด และอย่าพูดอวดอ้างถึงสิ่งที่ตนเองรู้เกี่ยวกับเบาหวาน พยายามให้กำลังใจ พูดคุย หรือปฏิบัติตนตามปกติ
    2. รู้จักที่จะปล่อยให้ผู้ป่วยทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่าการเข้าไปจัดการแทนทั้งหมด แต่แสดงออกให้ผู้ป่วยรู้ว่า ยังมีคนในครอบครัวที่อยู่ข้าง ๆ เสมอ และพร้อมให้ความช่วยเหลือหากต้องการ
    3. ศึกษาหาความรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวาน โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน และหมั่นสังเกตอาการ อารมณ์ หรือสัญญาณเตือนเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ อาจเข้าไปสอบถามและช่วยเหลือเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ
    4. ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ รวมทั้งความเครียด ความวิตกกังวล ควรพยายามเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้ป่วยที่ต้องจัดการกับปัญหาสุขภาพ การรับประทานยา การฉีดอินซูลิน ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับตัวยอมรับกับโรคที่เกิดขึ้นว่าเบาหวานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แตไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
    5. แม้ว่าผู้ป่วยอาจจะไม่ค่อยอยากทำอะไร แต่อย่าให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอยู่กับที่มากเกินไป อาจออกอุบายหรือวางแผนเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ชวนกันไปซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ ออกไปเดินเล่นด้วยกัน เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและรู้สึกสดชื่น

    ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวาน

    เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่นอกจากจะต้องรับประทานยาแก้เบาหวานแล้ว มักมียาลดความดันโลหิตสูง ยาลดไขมันในเลือดสูง ซึ่งทำให้มียาหลายชนิดที่ต้องรับประทานให้ถูกต้องตามที่คุณหมอสั่ง ผู้ป่วยอาจหลงลืมหรือรับประทานยาผิดได้ สมาชิกในบ้านจำเป็นต้องช่วยดูแลเรื่องตารางการรับประทานยาให้ตรงเวลาและครบถ้วน รวมทั้งทำความรู้จักชนิดของกลุ่มยารับประทานที่ใช้รักษาเบาหวานและอาการอื่น ๆ

    • กลุ่มยาซัลโฟนีลยูเรีย เช่น ยาไกลพิไซด์ (Glipizide) ไกลเมพิไรด์ (Glimepiride) โดยยาในกลุ่มนี้เป็นยารับประทานที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนในร่างกายโดยเฉพาะ
    • กลุ่มยาที่ไม่ใช่ซัลโฟนีลยูเรีย เช่น ยาเมทฟอร์มิน (Metformin) ยาอินโวคานา (Invokana)  ยาเหล่านี้จะออกฤทธิ์ต้านการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อช่วยลดระดับน้ำตาลให้อยู่ในภาวะปกติ นอกจากนั้น ยังมียากลุ่มฮอร์โมนอย่าง DPP-4 inhibitor มีคุณสมบัติช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาล โดยออกฤทธิ์ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนกลูคากอนซึ่งผลิตจากตับอ่อน SGLT-2 inhibitor เป็นยารักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักใช้เสริมร่วมกับยาในกลุ่มอื่น และ GLP-1 สำหรับช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด มักใช้ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีหรือยาอื่น ๆ
    • กลุ่มยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน เช่น ยาซิมวาสแตติน (Simvastatin) ยาฟลูวาสแตติน (Fluvastatin) ยาอะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin) มีฤทธิ์ในการช่วยลดไขมันในเลือด ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไขมันในเลือดสูง ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตคอเลสเตอรอลชนิดเลว เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี
    • กลุ่มยาลดความดันโลหิต โดยปกติแพทย์จะใช้ยามากกว่า 2 ชนิดในการช่วยลดความดันโลหิต เช่น กลุ่มยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors) เป็นกลุ่มยาที่ใช้รักษา ป้องกัน และบรรเทาภาวะโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจวาย กลุ่มยาขับปัสสาวะไธอะไซด์ไดยูเรติก (Thiazide-like diuretics) เป็นกลุ่มยาที่เข้าไปออกฤทธิ์กับไตโดยตรง ยาลดความดันส่วนใหญ่ที่แพทย์จ่ายมักมุ่งเน้นในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

    วัคซีนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

    ผู้ป่วยเบาหวานอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย จึงจำเป็นต้องได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคเหล่านั้น ทั้งนี้ สมาชิกในครอบครัวอาจสอบถามแพทย์ถึงวัคซีนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อจะได้ช่วยกันจดบันทึกวันฉีดวัคซีน และช่วยกันเตือนผู้ป่วยเมื่อถึงวันนัด โดยปกติวัคซีนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่

    1. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ จำเป็นต้องฉีดปีละ 1 ครั้งเพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงร่างกายจะได้สามารถต่อสู้กับโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
    2. วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ โดยปกติวัคซีนชนิดนี้ฉีดเพียงแค่ครั้งเดียว แต่หากมีโรคแทรกซ้อนหรืออายุมากกว่า 65 ปี อาจจำเป็นต้องได้รับการฉีดเข็มกระตุ้น
    3. วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ผู้ป่วยเบาหวานที่อายุน้อยกว่า 60 ปีและยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ จำเป็นต้องได้รับการฉีด แต่หากอายมากกว่า 60 และยังไม่เคยฉีด อาจต้องปรึกษาแพทย์เป็นกรณีไป
    4. วัคซีนโควิด-19 ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ เพราะร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับไวรัสของโรคโควิด-19 นี้ได้เอง หากไม่ได้รับวัคซีนอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนและเสียชีวิตได้
    5. วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน เป็นวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่ฉีดทุก ๆ 10 ปี

    โรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน

    โรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักคือ โรคแทรกซ้อนเรื้อรังและโรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน ได้แก่

    โรคแทรกซ้อนเรื้อรัง

    • โรคหลอดเลือดหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวานมักมีภาวะไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้หลอดเลือดเสื่อม อักเสบ หรือผิดปกติได้  ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าและรุนแรงกว่าคนทั่วไป และผู้ป่วยเบาหวานมีอัตราเสียชีวิตจากการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจค่อนข้างสูงกว่าโรคอื่น ๆ 
    • เบาหวานขึ้นตา ตาจะเริ่มมองเห็นไม่ชัด ตาพร่า โดยปกติแล้วมักตรวจพบได้เมื่อตรวจวัดสายตา สามารถรักษาและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ 
    • โรคไต ทั้งระดับน้ำตาลในเลือดสูงและความดันโลหิตสูงอาจทำให้เกิดภาวะเบาหวานลงไต และนำไปสู่ภาวะไตวายได้ในที่สุด
    • เสื่อมสมรรภาพทางเพศ เนื่องจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือช่องคลอดติดเชื้อในผู้หญิง ส่วนในเพศชาย อาจทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัวได้ 

    โรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน

    • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ การรับประทานยาและการรักษาเบาหวานอาจทำให้ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลงมากกว่าปกติได้
    • ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง แม้จะรับประทานยาหรือฉีดอินซูลิน แต่หากไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ ควรปรึกษาแพทย์
    • ภาวะเลือดมีความเข้มข้นสูง เกิดจากความเครียด อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงและเกิดความดันโลหิตสูง เป็นอันตรายได้
    • ภาวะคีโตอะซิโดซิส หรือภาวะเลือดเป็นกรด เกิดได้ยากแต่เป็นโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงในผู้ป่วยเบาหวาน

    การดูแลเท้าผู้ป่วยเบาหวาน

    เท้าเป็นแผลในผู้ป่วยเบาหวานเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและอันตราย เนื่องจากผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเมื่อเกิดแผลที่เท้า และนำไปสู่การตัดขาได้ จึงจำเป็นที่คนในครอบครัวอาจช่วยใส่ใจและดูแลเพื่อป้องกันแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน โดยปฏิบัติ ดังนี้ 

    • ให้ผู้ป่วยล้างเท้าในน้ำอุ่นเป็นประจำทุกวัน แต่ไม่แช่เท้าในน้ำเพราะอาจทำให้ผิวแห้งได้  
    • เช็ดเท้าให้แห้งสนิททุกครั้งหลังอาบน้ำหรือล้างเท้า โดยเฉพาะบริเวณตามซอกนิ้วเท้า  
    • ทาครีมบำรุงผิวที่เท้าและข้อเท้า หรือปิโตรเลียมเจล ไม่ควรทาน้ำมันหรือครีมบริเวณง่ามนิ้วเท้า เพราะหากชื้นเกินไปอาจติดเชื้อได้ 
    • สังเกตเท้าผู้ป่วยเป็นประจำทุกวัน ถึงอาการบวม แดง อักเสบ 
    • หากรู้สึกปวด บวม หรือมีแผลที่เท้า โดยอาการไม่หายภายใน 2-3 วัน รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
    • ไม่เดินเท้าเปล่าไม่ว่าจะในบ้านหรือนอกบ้าน ควรสวมถุงเท้าหรือรองเท้าทุกครั้ง

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 24/03/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา