backup og meta

โรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย อาจป้องกันได้ด้วยวิธีเหล่านี้

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย Sopista Kongchon · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    โรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย อาจป้องกันได้ด้วยวิธีเหล่านี้

    ตั้งแต่อาการท้องอืด ไปจนถึงอาการของโรคกรดไหลย้อน หลายคนคงอาจเคยมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารมาแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนิสัยการกิน และการออกกำลังกาย ถือเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันโรคทางระบบอาหาร แต่หากการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์บางอย่างไม่ทำให้อาการของ โรคระบบทางเดินอาหาร ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

    โรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย

    ระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายย่อยอาหาร และดูดซึมสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งระบบทางเดินอาหารจะประกอบด้วยอวัยวะดังต่อไปนี้

    • ปาก
    • หลอดอาหาร
    • ตับ
    • กระเพาะ
    • ถุงน้ำดี
    • ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก
    • ตับอ่อน
    • ทวารหนักและไส้ตรง

    นอกจากนี้ โรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย แบ่งเป็นอาการเรื้อรังของทางเดินอาหารส่วนบน และทางเดินอาหารส่วนล่าง ดังนี้

    ทางเดินอาหารส่วนบน

    อาการของทางเดินอาหารส่วนบนอาจหมายถึง การเรอบ่อยเกินไป แสบคอหรือแสบร้อนทรวงอก คลื่นไส้ อาเจียน หรือเจ็บปวดบริเวณท้องส่วนบน ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย ได้แก่

    • โรคกรดไหลย้อน
    • แผลในกระเพาะอาหาร
    • โรคกระเพาะ
    • อัมพาตกระเพาะ (Gastroparesis)
    • โรคนิ่ว

    ทางเดินอาหารส่วนล่าง

    ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณทางเดินอาหารส่วนล่าง อาจไม่ได้หมายความว่าจะเกิดจากลำไส้เสมอไป เนื่องจากความเจ็บปวดจากอวัยวะภายในอื่นๆ อาจแผ่ขยายจนทำให้เกิดความเจ็บปวดที่บริเวณอื่น อย่างไรก็ตาม มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารมากมาย ที่สามารถทำให้เกิดอาการที่เกี่ยวกับลำไส้ ได้แก่ เจ็บปวดบริเวณท้องส่วนล่าง ตะคริวในลำไส้ และปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากโรคระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย ดังนี้

    • โรคซิลิแอค (Celiac disease)
    • โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่ (Diverticular disease)
    • กลุ่มโรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel Disease, IBD)
    • โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome, IBS)

    วิธีป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร

    ลดการกินอาหารมื้อใหญ่

    เมื่อคุณกินอาหารมื้อใหญ่ อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนเนื่องจากกรดเกินในกระเพาะ และอาจมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย ดังนั้นจึงอาจลดการกินอาหารมื้อใหญ่ และกินอาหารมื้อเล็กลง แต่กินบ่อยขึ้น โดยคุณอาจกินอาหาร 5-6 มื้อต่อวัน ในปริมาณที่น้อยลง และต้องไม่ลืมที่จะกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในทุกๆ มื้อ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการกินแล้วนอน หรือเอนตัวลงนอนทันทีหลังกินอาหาร เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคกรดไหลย้อน

    ดื่มน้ำให้มาก

    น้ำมีส่วนช่วยชะล้างระบบทางเดินอาหาร และยังช่วยป้องกันอาการท้องผูก เนื่องจากน้ำช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้น มากไปกว่านั้นน้ำยังมีส่วนช่วยให้ระบบทางเดินอาหารดูดซึมสารอาหารอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน และลดการดื่มน้ำหวาน เนื่องจากการดื่มน้ำที่เพิ่มน้ำตาลสามารถทำให้ปัญหาของระบบทางเดินอาหารแย่ลง

    เพิ่มไฟเบอร์ในมื้ออาหาร

    ไฟเบอร์มี 2 ชนิด ได้แก่ ไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำ ซึ่งจะสร้างเจลในทางเดินอาหารที่จะส่งผลให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น เวลาที่กินอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ และอีกชนิดหนึ่งคือ ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ จะเพิ่มความหนาให้กับอุจจาระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการขับถ่าย

    และโดยปกติผู้หญิงควรได้รับไฟเบอร์ 25 กรัมต่อวัน และผู้ชายควรได้รับไฟเบอร์ 38 กรัมต่อวัน หากได้รับไฟเบอร์อย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันปัญหาระบบทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่สามารถได้รับไฟเบอร์จากมื้ออาหาร แพทย์อาจแนะนำให้ได้รับไฟเบอร์จากอาหารเสริม

    เพิ่มโพรไบโอติก

    แบคทีเรียในทางเดินอาหารมีทั้งชนิดดีและไม่ดี และโพรไบโอติกคือแบคทีเรียชนิดดีในทางเดินอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น

    • บรรเทาอาการท้องอืดเนื่องจากแก๊ส
    • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
    • ป้องกันแบคทีเรียที่เป็นอันตราย ไม่ให้เจริญเติบโต
    • ทำลายแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณป่วย

    โดยสามารถได้รับโพรไบโอติกจากการกินอาหารบางประเภท เช่น โยเกิร์ต กิมจิ มิโซะ นอกจากนี้หากต้องการกินอาหารเสริมโพรไบโอติก ควรปรึกษาแพทย์

    เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ

    หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ปรับการกินอาหารและการออกกำลังกาย ไม่ทำให้อาการของโรคระบบทางเดินอาหารดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ และในกรณีที่มีอาการเหล่านี้

    • ปวดท้องอย่างรุนแรง
    • ถ่ายปนเลือด
    • น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • เป็นโรคระบบทางเดินอาหารเรื้อรัง เช่น โรคกรดไหลย้อน

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัย หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย Sopista Kongchon · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา