แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญกับโครงสร้างกระดูก หากร่างกายมีระดับของแมกนีเซียมต่ำเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดอุดตัน
ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group
แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญกับโครงสร้างกระดูก หากร่างกายมีระดับของแมกนีเซียมต่ำเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดอุดตัน
แมกนีเซียม (Magnesium) คือแร่ธาตุที่สำคัญกับโครงสร้างกระดูกปกติในร่างกาย คนสามารถได้รับแมกนีเซียมจากอาหาร แต่ในบางครั้งอาจต้องการ อาหารเสริมแมกนีเซียม หากมีระดับของแมกนีเซียมต่ำเกินไป ระดับของแมกนีเซียมในร่างกายต่ำมีความเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจแต่กำเนิด โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมอง
คนรับประทาน อาหารเสริมแมกนีเซียม เพื่อป้องกันการขาดแมกนีเซียม และยังใช้ยาระบายสำหรับอาการท้องผูก และเพื่อเตรียมลำไส้สำหรับการผ่าตัด หรือขั้นตอนการวินิจฉัยโรค และยังใช้เป็นยาลดกรดสหรับภาวะกรดเกิน
บางคนยังใช้ อาหารเสริมแมกนีเซียม สำหรับโรคอื่น ๆ อีกด้วย ดังนี้
นอกจากนี้ยังมีการใช้แมกนีเซียมเพื่อรักษาโรคอื่น ๆ อีก ดังนี้
การใช้แมกนีเซียมสำหรับทาผิว
ในบางครั้งนักกีฬาจะใช้แมกนีเซียมเพื่อเพิ่มพลังและความอึด สำหรับบางคนใช้แมกนีเซียมเพื่อทาบนผิวหนัง เพื่อรักษาแผลติดเชื้อที่ผิวหนัง แผลน้ำร้อนลวก และฝีฝักบัว (Carbuncle) และเพื่อเร่งความเร็วในการเยียวยาตัวเองของบาดแผล แมกนีเซียมยังใช้ในการประคบเย็น เพื่อรักษาอาการติดเชื้อที่ผิวหนังอย่างรุนแรง ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียอักเสบ หรือโรคไฟลามทุ่ง (erysipelas) และใช้ประคบร้อนสำหรับการติดเชื้อที่ฝังลึกอยู่ในผิวหนัง
การฉีดแมกนีเซียม
ฉีดแมกนีเซียมเข้าสู่ร่างกายเพื่อเป็นการให้สารอาหาร และรักษาอาการขาดแมกนีเซียมที่เกิดในผู้ป่วย ที่มีการติดเชื้อที่ตับอ่อน การดูดซึมแมกนีเซียมผิดปกติ และโรคตับแข็ง แล้วยังฉีดเพื่อรักษาอาการความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ และอาการแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์อื่นๆ
แมกนีเซียมยังใช้ฉีดเพื่อควบคุมอาการชัก รักษาอาการหัวใจเต้นไม่ปกติ และควบคุมอาการหัวใจเต้นไม่ปกติ หลังจากอาการหัวใจล้มเหลวฉับพลัน และสำหรับอาการหัวใจหยุดเต้น นอกจากนี้ยังใช้เพื่อรักษาโรคหอบหืด และอาการแทรกซ้อนของโรคปอดอื่นๆ โรคปวดศีรษะไมเกรนและแบบคลัสเตอร์ (cluster headaches) แมงกระพรุนต่อย เป็นพิษ ปวด บวมในสมอง ผลข้างเคียงของการทำเคมีบำบัด อาการบาดเจ็บที่ศีรษะและมีเลือดออก โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (sickle cell disease) ป้องกันโรคสมองพิการ (cerebral palsy) และรักษาบาดทะยัก (tetanus)
ยังไม่มีงานวิจัยที่เพียงพอเกี่ยวกับการทำงานของแมกนีเซียม โปรดปรึกษากับแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันว่าแมกนีเซียมนั้นจำเป็นต่อการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม และซ่อมแซมกระดูก แมกนี้เซียมยังจำเป็นต่อการทำงานที่เหมาะสมของเส้นประสาท กล้ามเนื้อ และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ในกระเพาะอาหาร แมกนีเซียมนั้นจะช่วยทำให้กรดในกระเพาะอาหารเป็นกลาง และเคลือนย้ายอุจจาระผ่านลำไส้
ปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรในกรณีต่อไปนี้
ข้อบังคับในการใช้อาหาเสริมนั้น มีเข้มงวดน้อยกว่าข้อบังคับในการใช้ยา ยังต้องการงานวิจัยอีกมาก เพื่อบ่งชี้ความปลอดภัย ประโยชน์ของอาหารเสริมนี้จะต้องมีมากกว่าความเสี่ยงก่อนที่จะใช้งาน โปรดปรึกษากับแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
แมกนีเซียมมีแนวโน้มที่จะปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ หากรับประทานอย่างเหมาะสม หรือใช้เมื่อได้รับใบสั่งยาเท่านั้น และใช้ยาแบบฉีดได้อย่างถูกต้อง
ขนาดยาต่ำกว่า 350 มก. ต่อวัน ถือว่าปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ หากรับประทานในปริมาณมาก แมกนีเซียมอาจจะไม่ปลอดภัย
ข้อควรระวังเป็นพิเศษและคำเตือน
ผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
แมกนีเซียมมีแนวโน้มที่จะปลอดภัยกับผู้ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หากใช้ในขนาดที่ต่ำกว่า 350 มก. ต่อวัน แมกนีเซียมจะปลอดภัย หากฉีดยาเป็นช็อต หรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำก่อนก่อนคลอดบุตร แมกนีเซียมอาจจะไม่ปลอดภัย หากรับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดในขนาดยาที่สูง
เด็ก
แมกนีเซียมมีแนวโน้มที่จะปลอดภัยกับคนส่วนใหญ่ หากรับประทานอย่างถูกต้อง หรือใช้เมื่อได้รับใบสั่งยาเท่านั้น และใช้ยาแบบฉีดได้อย่างถูกต้อง แมกนีเซียมจะปลอดภัยหาก หากใช้ในขนาดที่ต่ำกว่า 65 มก. สำหรับเด็กอายุ 1-3 ปี 110 มก. สำหรับเด็กอายุ 4-8 ปี และ 350 มก. สำหรับเด็กที่อายุมากกว่า 8 ปี แมกนีเซียมอาจจะไม่ปลอดภัย หากใช้ในขนาดยาที่สูง
การใช้แมกนีเซียมสำหรับโรคพิษสุราเรื้อรัง
ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะขาดแมกนีเซียม
โรคเลือดออกผิดปกติ
แมกนีเซียมอาจจะชะลอการแข็งตัวของเลือด ในทางทฤษฏีแล้ว แมกนีเซียมอาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก หรือเกิดรอยช้ำ ในผู้ที่เป็นโรคเลือดออกผิดปกติ
โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดแมกนีเซียม การควบคุมโรคเบาหวานได้ไม่ดี จะลดปริมาณการดูดซึมแมกนีเซียมของร่างกาย
ผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดแมกนีเซียม เนื่องจากการดูดซึมแมกนีเซียมของร่างกายลดลง และอาจจะมีโรคที่สามารถส่งผลต่อการดูดซึมของแมกนีเซียมอีกด้วย
ภาวะสัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวาง (Heart block)
ไม่ควรใช้แมกนีเซียมในขนาดที่สูง (มักจะมาจากการฉีดยาเข้าหลอดเลือด) กับผู้ป่วยที่มีภาวะสัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวาง
โรคที่สามารถส่งผลต่อการดูดซึมของแมกนีเซียม
ปริมาณของแมกนีเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้นั้นอาจจะลดลง เพราะอาการหลายๆ อย่าง เช่น การติดเชื้อในกระเพาะอาหาร โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน (immune diseases) โรคสำไส้อักเสบและอื่นๆ
โรคไต
เช่น ไตวาย ไตที่ทำงานไม่ดีอาจจะมีปัญหาในการกำจัดแมกนีเซียมออกจากร่างกาย การบริโภคแมกนีเซียมเพิ่มเติม สามารถทำให้แมกนีเซียมสะสมในร่างกายในระดับที่อันตราย อย่าบริโภคแมกนีเซียมหากป็นโรคไต
โรคขาไม่อยู่สุข (Restless leg syndrome)
คนที่เป็นโรคขาไม่อยู่สุขอาจมีระดับแมกนีเซียมสูง แต่ยังไม่แน่ชัดว่าแมกนีเซียมทำให้เกิดอาการนี้ เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคขาไม่อยู่สุขก็มีภาวะขาดแมกนีเซียมเช่นกัน
สำหรับบางคน แมกนีเซียมอาจจะทำให้เกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง และผลข้างเคียงอื่นๆ
แมกนีเซียมในขนาดสูง อาจจะทำให้แมกนีเซียมสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น หัวใจเต้นไม่ปกติ ความดันโลหิตต่ำ สับสน หายใจช้า อาการโคม่า และเสียชีวิต
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ หรืออาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้ามีข้อสงสัยใด ๆ โปรดปรึกษาหมอ
แมกนีเซียมอาจมีปฏิกิริยากับยาที่กำลังใช้อยู่ หรือโรคที่เป็นอยู่ โปรดปรึกษากับแพทย์ก่อนการใช้
ยาที่อาจจะมีปฏิกิริยาต่อแมกนีเซียมมีดังนี้
ยาปฏิชีวนะบางตัวอาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อ ยาปฏิชีวนะเหล่านี้เรียกว่าอะมิโนไกลโคไซด์ แมกนีเซียมก็สามารถส่งผลต่อกล้ามเนื้อได้เช่นกัน การใช้ยาปฏิชีวนะเหล่านี้ร่วมกับแมกนีเซียมอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ
ยาปฏิชีวนะบางชนิด ได้แก่ ยาอะมิคาซิน (amikacin) อย่างเช่นอะมิคิน (Amikin) ยาเจนตามัยซิน (gentamicin) อย่างเช่นการามัยซิน (Garamycin) ยากานามัยซิน (kanamycin) อย่างเช่นกันเทร็กซ์ (Kantrex) ยาสเตรปโตมัยซิน (streptomycin) ยาโทบรามัยซิน (tobramycin) อย่างเช่นเน็บซิน (Nebcin) และอื่น ๆ
แมกนีเซียมอาจลดปริมาณการดูดซึมยาปฏิชีวนะของร่างกาย การใช้แมกนีเซียมร่วมกับยาปฏิชีวนะบางชนิด อาจลดประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ ควรใช้ยาปฏิชีวนะเหล่านี้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนหรือ 4 ถึง 6 ชั่วโมงหลังจากที่รับประทานอาหารเสริมแมกนีเซียม
ยาปฏิชีวนะบางชนิดที่มีผลต่อแมกนีเซียม ได้แก่ ยาซิโปรฟลอกซาซิน (ciprofloxacin) อย่างเช่นซิโปร (Cipro) ยาอีนอกซาซิน (enoxacin) อย่างเช่นเพเนเทร็กซ์ (Penetrex) ยานอร์ฟลอกซาซิน (norfloxacin) อย่างเช่นชิบร็อกซ์ซิน (Chibroxin) หรือโนโรซิน (Noroxin) ยาสปาร์ฟลอกซาซิน (sparfloxacin) อย่างเช่นซาแกม (Zagam) ยาโทวาฟลอกซ์ซาซิน (trovafloxacin) อย่างเช่นโทรแวน (Trovan) และยาเกรพพาฟลอกซาซิน (grepafloxacin) อย่างเช่นแรกซ์ซาร์ (Raxar)
แมกนีเซียมสามารถเกาะติดกับยาเตตราไซคลีนในกระเพาะอาหาร ทำให้ลดปริมาณของยาเตตราไซคลีนที่ร่างกายจะดูดซึมได้ การรับประทานแมกนีเซียมคู่กับยาเตตราไซคลีน อาจจะลดประสิทธภาพของยาเตตราไซคลีนได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ ควรรับประทานแคลเซียม 2 ชั่วโมงก่อน หรือ 4 ชั่วโมง หลังรับประทานยาเตตราไซคลีน
ยาในกลุ่มเตตราไซคลีนบางชนิดมีดังนี้ ยาเดเมโคลไซคลีน (demeclocycline) อย่างเช่นเดโคลมัยซิน (Declomycin) ยามิโนไซคลีน (minocycline) อย่างเช่นไมโนซิน (Minocin) และยาเตตราไซคลีน อย่างเช่นอะโครมัยซิน (Achromycin)
แมกนีเซียมสามารถลดปริมาณการดูดซึมยากลุ่มไบฟอสโฟเนตส์ของร่างกายได้ การใช้แมกนีเซียมคู่กับยากลุ่มไบฟอสโฟเนตส์ สามารถลดประสิทธิผลของยากลุ่มไบฟอสโฟเนตส์ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ ให้ใช้ยากลุ่มไบฟอสโฟเนตส์อย่างน้อยสองชั่วโมงก่อนแมกนีเซียม หรือหลังจากนั้น
ยากลุ่มไบฟอสโฟเนตส์บางชนิดได้แก่ ยาอะเลนโดรเนต (alendronate) อย่างเช่นโฟซาแมกซ์ (Fosamax) ยาเอดทิโดรเนท (etidronate) อย่างเช่นไดโดรเนล (Didronel) ยาเรซิโดรเนท (risedronate) อย่างเช่นแอคโทเนล (Actonel) ยาทิลูโดรเนท (tiludronate) อย่างเช่นสเกลลิด (Skelid) และอื่น ๆ
แมกนีเซียมอาจลดระดับความดันโลหิตได้ การใช้แมกนีเซียมร่วมกับยาเพื่อรักษาอาการความดันโลหิตสูง อาจทำให้ความดันโลหิตต่ำเกินไป
ยาสำหรับอาการความดันโลหิตสูงบางชนิด ได้แก่ ยาไนเฟดิปีน (nifedipine) อย่างเช่นอะดาลัท (Adalat) หรือโพรคาเดีย (Procardia) ยาเวอราปามิล (verapamil) อย่างเช่นคาลัน (Calan) หรือไอซอปทิน (Isoptin) หรือเวเรลัน (Verelan) ยาดิลไทอะเซม (diltiazem) อย่างเช่นคาร์ดิเซม (Cardizem) ยาอิสราดิพีน (isradipine) อย่างเช่นไดนาเซิร์ก (DynaCirc) ยาฟิโลดิปีน (felodipine) อย่างเช่นเพลนดิล (Plendil) ยาแอมโลดิปีน (amlodipine) อย่างเช่นนอร์วาสก์ (Norvasc) และอื่นๆ
แมกนีเซียมช่วยคลายกล้ามเนื้อ การรับประทานแมกนีเซียมคู่กับยาคลายกล้ามเนื้อ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงของยาคลายกล้ามเนื้อ
ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิดได้แก่ ยาคาริโซโพรดอล (carisoprodol) อย่างเช่นโซมา (Soma) ยาไพพิคิวโรเนียม (pipecuronium) อย่างเช่นอาร์ดูอาน (Arduan) ยาออเฟเนดรีน (orphenadrine) อย่างเช่นแบนเฟล็กซ์ (Banflex) หรือดิซิพิล (Disipal) ยาไซโคลเบนซาพรีน (cyclobenzaprine) ยาแกลลามีน (gallamine) อย่างเช่นแฟล็กซิดิล (Flaxedil) ยาอะตราคิวเรียม (atracurium) อย่างเช่นแทรคเรียม (Tracrium) ยาแพนคูโรเนียม (pancuronium) อย่างเช่นพาวูลอน (Pavulon) ยาซักซินิลโคลีน (succinylcholine) อย่างเช่นอะเนคทีน (Anectine) และอื่นๆ
ยาขับปัสสาวะสามารถเพิ่มระดับของแมกนีเซียมในร่างกายได้ การรับประทานยาขับปัสสาวะคู่กับแมกนีเซียม อาจทำให้มีแมกนีเซียมในร่างกายมากเกินไป
ยาขับปัสสาวะที่เพิ่มแมกนีเซียมในร่างกาย ได้แก่ ยาอะมิโลไรด์ (amiloride) อย่างเช่นมิดามอร์ (Midamor) ยาสไปโรโนแลคโตน (spironolactone) อย่างเช่นอัลแดคโทน (Aldactone) และยาไตรแอมเทอรีน (triamterene) อย่างเช่นไดเนเนียม (Dyrenium)
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการใช้ยานี้
ขนาดยาต่อไปนี้ได้รับการศึกษาในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้ว
สำหรับผู้ใหญ่
รับประทาน
ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
การฉีดยาเป็นช็อต
การสูดดม
สำหรับเด็ก
รับประทาน
ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
ขนาดยาของแมกนีเซียมอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละคน ขนาดยาที่ใช้นั้นขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพ และอาการอื่นๆ อาหารเสริมนั้นไม่ได้ปลอดภัยเสมอ โปรดปรึกษาคุณหมอสำหรับขนาดยาที่เหมาะสม
รูปแบบของแมกนีเซียมมีดังนี้
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย