อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง ควรมีการทดลองในมนุษย์เพิ่มเติมเพื่อยืนยันคุณสมบัติของเคอร์คิวมินในขมิ้นในการต้านมะเร็ง
-
อาจช่วยบรรเทาโรคข้อเข่าเสื่อม
ขมิ้นอุดมไปด้วยสารเคอร์คิวมินที่มีคุณสมบัติยับยั้งการอักเสบของเซลล์ในร่างกาย การบริโภคขมิ้นจึงอาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย รวมถึงความปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมซึ่งพบได้ทั่วไปในผู้สูงอายุ
การศึกษาชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเคอร์คิวมินและยาแก้ปวดไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ตีพิมพ์ในวารสาร Trials ปี พ.ศ. 2562 นักวิจัยสุ่มให้กลุ่มอาสาสมัครซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม 139 รายบริโภคเคอร์คิวมินในรูปแบบอาหารเสริม วันละ 3 ครั้ง หรือยาไดโคลฟีแนค วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 28 วันเท่า ๆ กัน เพื่อวัดผลเปรียบเทียบ โดยเมื่อครบกำหนดเวลา นักวิจัยพบว่า ในวันที่ 14 และ 28 ของการทดลอง อาสาสมัครกลุ่มที่บริโภคเคอร์คิวมิน มีอาการเจ็บหัวเข่าดีขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มที่บริโภคยาไดโคลฟีแนค นักวิจัยให้ข้อเสนอแนะว่า เคอร์คิวมิน อาจใช้เป็นตัวเลือกในการบรรเทาโรคข้อเข่าเสื่อมได้
อาจสรุปได้ว่า เคอร์คิวมิน มีคุณสมบัติต้านการอักเสบของร่างกาย เช่นเดียวกับยาแก้ปวดซึ่งใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ดังนั้น การบริโภคขมิ้นจึงอาจมีส่วนช่วยบรรเทาโรคข้อเข้าเสื่อมได้
-
อาจช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์
สารเคอร์คิวมินในขมิ้น มีคุณสมบัติส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือดสมองและจุดประสานประสาทให้ดำเนินไปอย่างปกติ รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ การบริโภคขมิ้นจึงอาจช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับกลไกของเคอร์คิวมินในโรคอัลไซเมอร์ เผยแพร่ในวารสาร Journal of Alzheimer’s Disease ปี พ.ศ. 2560 นักวิจัยศึกษาข้อมูลจากผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการหลาย ๆ ชิ้นและได้ข้อสรุปว่า เคอร์คิวมิน และสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) จากขมิ้นอาจมีกลไกลป้องกันโรคอัลไซเมอร์ อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของขมิ้นในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์นั้นยังมีข้อจำกัด เนื่องจากปริมาณของตัวยาจากสารเคอร์คิวมินและสารโพลีฟีนอลที่สามารถบริโภคเข้าสู่ร่างกายได้นั้นค่อนข้างต่ำ หากสามารถหาวิธีแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าวได้ การใช้ประโยชน์จากสารเคอร์คิวมินต่อโรคอัลไซเมอร์อาจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
อาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
เคอร์คิวมินในขมิ้น มีคุณสมบัติในการช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระซึ่งก่อให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่น (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ เคอร์คิวมินยังมีคุณสมบัติเสริมสร้างการทำงานของผนังเส้นเลือด (Endothelium) ให้แข็งแรง การบริโภคขมิ้นจึงอาจช่วยป้องกันและลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
จากงานวิจัยชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับการบริโภคเคอร์คิวมินและการออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมการทำงานของผนังหลอดเลือดในผู้หญิงวัยทอง ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition Research ปี พ.ศ. 2555 นักวิจัยได้แบ่งอาสาสมัครซึ่งเป็นผู้หญิงวัยทองจำนวน 32 รายออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้บริโภคเคอร์คิวมิน กลุ่มที่ 2 ให้ออกกำลังกายแบบหนักปานกลาง กลุ่มที่ 3 ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์เท่า ๆ กัน
เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการทดลอง นักวิจัยได้ตรวจการขยายตัวของหลอดเลือด พบว่า ผลตรวจของกลุ่มที่บริโภคเคอร์คิวมินและกลุ่มที่ออกกำลังกาย เป็นไปในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับผลตรวจก่อนทำการทดลอง ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้บริโภคเคอร์คิวมินหรือออกกำลังกาย ไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
นักวิจัยจึงสรุปว่า การบริโภคเคอร์คิวมินและการออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มการขยายตัวของหลอดเลือดหลังถูกปิดกั้นการไหลเวียน และอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างการทำงานของหลอดเลือดซึ่งมักแย่ลงเมื่ออายุมากขึ้นให้แข็งแรงขึ้น และอาจช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ในเวลาเดียวกัน
ข้อควรระวังในการบริโภค ขมิ้น
แม้ขมิ้นจะมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงร่างกายและอาจช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพ แต่การบริโภคขมิ้น มีข้อควรระวังดังต่อไปนี้
- ขมิ้น ไม่ควรบริโภคอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสมในการบริโภค คือ วันละ 8 กรัม เป็นเวลาไม่เกิน 2 เดือน หรือวันละ 3 กรัม เป็นเวลาไม่เกิน 3 เดือน ทั้งนี้ ผลข้างเคียงที่อาจพบได้เมื่อบริโภคขมิ้นติดต่อกันเป็นเวลานานหรือในปริมาณที่มากเกินไป ประกอบด้วย ปวดท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ และมึนงง
- การบริโภคขมิ้นอาจทำให้เลือดจาง ดังนั้น จึงไม่ควรบริโภคขมิ้นควบคู่กับยาต้านการแข็งตัวของเลือด อย่างวอร์ฟาริน (Warfarin) นอกจากนี้ ขมิ้นอาจทำให้เลือดหยุดไหลช้าลง ซึ่งจะส่งผลให้เสียเลือดมากกว่าปกติระหว่างผ่าตัด ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดจึงควรงดเว้นการบริโภคขมิ้น และควรปรึกษาคุณหมอหากกำลังรับประทานอาหารเสริมขมิ้น
- สำหรับหญิงตั้งครรภ์ การบริโภคขมิ้นในปริมาณมาก อาจกระตุ้นการทำงานของมดลูก และส่งผลเสียต่อครรภ์ นอกจากนี้ หญิงในระยะให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคขมิ้นในปริมาณมาก เพราะยังไม่มีข้อมูลที่สนับสนุนว่าการบริโภคขมิ้นระหว่างให้นมบุตรนั้นปลอดภัย
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย