คางทูมเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในบริเวณต่าง ๆ เช่น ต่อมน้ำลาย ทำให้เกิดอาการอักเสบ บวม ปวดหัว และอาการคล้ายไข้หวัด ที่สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ผ่านทางน้ำลายหรือน้ำมูก สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานยา และการพักผ่อนเพื่อให้อาการบรรเทาลง
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล
คางทูมเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในบริเวณต่าง ๆ เช่น ต่อมน้ำลาย ทำให้เกิดอาการอักเสบ บวม ปวดหัว และอาการคล้ายไข้หวัด ที่สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ผ่านทางน้ำลายหรือน้ำมูก สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานยา และการพักผ่อนเพื่อให้อาการบรรเทาลง
คางทูม คือโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส สามารถเกิดขึ้นได้หลายตำแหน่งทั่วร่างกาย แต่ที่พบบ่อยที่สุดคือการติดเชื้อที่บริเวณต่อมน้ำลายหน้ากกหู (parotid gland) ทำให้เกิดอาการบวม อักเสบ ปวดหัว และอาการอื่น ๆ ที่คล้ายไข้หวัด เช่น ตัวร้อน มีน้ำมูก
คางทูมสามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ผ่านทางการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก เมื่อผู้ป่วยพูด จาม หรือไอ รวมไปถึงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วยคางทูม ตามปกติแล้ว ผู้ที่เคยเป็นโรคคางทูม มักจะไม่เป็นโรคนี้อีกเป็นครั้ง 2 เพราะร่างกายอาจสสามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อครั้งต่อไปได้
อาการของโรคคางทูมมักจะปรากฏภายใน 14 วัน หลังจากได้รับเชื้อไวรัส โดยเริ่มแรกจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้สูง และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ดังต่อไปนี้
คางทูมเกิดจากการติดเชื้อไวรัสพารามิคโซไวรัส (Paramyxovirus) ที่แพร่กระจายผ่านทางละอองฝอย เช่น น้ำลาย น้ำมูก เมื่อผู้ป่วยพูด ไอ และจาม หรืออาจติดจากการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วยคางทูม ช่วงเวลาที่เสี่ยงแพร่เชื้อมากที่สุด คือช่วงประมาณ 2 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 5 วันหลังจากมีอาการ
ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม หัด และหัดเยอรมัน (MMR vaccine) อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคคางทูม
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
คุณหมอจะทำการตรวจร่างกายและตรวจดูอาการเบื้องต้น หากสังเกตพบว่ามีอาการคล้ายกับโรคคางทูม คุณหมออาจจะถามว่าผู้ป่วยได้ฉีดวัคซีนป้องกันคางทูมหรือไม่ จากนั้นก็อาจทำการเจาะเลือดตรวจ เพื่อหาเชื้อพารามิคโซไวรัสที่อาจเป็นสาเหตุของโรคคางทูม
เนื่องจากโรคคางทูมเป็นการติดเชื้อไวรัส จึงไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะหรือยาอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคคางทูมก็อาจเน้นไปที่การรักษาตามอาการ และการเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ดังนี้
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ได้ให้คำแนะนำในการป้องกันโรคคางทูม โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม หัด และหัดเยอรมัน เด็กที่อายุ 12-15 เดือน ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคคางทูม หัด และหัดเยอรมันเข็มแรก จากนั้นก็ควรรับวัคซีนเข็มที่สองเมื่อมีอายุ 4-6 ปี
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย
พลอย วงษ์วิไล
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย