ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ
ยาไรบาไวริน (Ribavirin) ใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสอื่นๆ เช่น ยาอินเตอร์เฟอรอน (interferon) หรือยาโซฟอสบูเวียร์ (sofosbuvir) เพื่อรักษาโรคตับอักเสบซีเรื้อรัง (hepatitis C) ซึ่งเป็นการติดเชื้อไวรัสที่ตับ การติดเชื้อตับอักเสบซีเรื้อรังนั้นสามารถทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับตับที่รุนแรง เช่น แผลเป็นหรือตับแข็ง (cirrhosis) หรือโรคมะเร็งตับ ยาไรบาไวรินทำงานโดยการลดปริมาณของไวรัสตับอักเสบซีภายในร่างกาย ซึ่งอาจจะช่วยให้ตับของคุณฟื้นฟูได้
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายานี้สามารถป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่นได้หรือไม่ อย่าแบ่งปันเข็มฉีดยากับผู้อื่น และมีเพศสัมพันธ์แบบป้องกัน (รวมถึงการใช้ถุงยางอนามัย) เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่น
รับประทานยานี้ตามที่แพทย์กำหนด โดยปกติคือวันละ 2 ครั้ง พร้อมกับอาหาร
ขนาดยาและระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับอายุ น้ำหนัก สภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา
หากยานี้มาในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ ควรทำตามวิธีการใช้ยาบนบรรจุภัณฑ์อย่างระมัดระวัง เว้นเสียแต่แพทย์จะสั่งให้คุณทำแบบอื่น
ยานี้จะทำงานได้ดีที่สุดหากรักษาระดับของยาไว้ในร่างกายอย่างคงที่ ควรเว้นระยะการใช้ยาให้เท่ากัน เพื่อให้ง่ายต่อการทำควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
ควรใช้ยาไรบาไวรินและยาต้านไวรัสอื่นๆ อย่างต่อเนื่องจนครบกำหนดแม้ว่าอาการของคุณจะหายไปภายในเวลาไม่นาน การหยุดใช้ยาเร็วเกินไปอาจทำให้กลับมาติดเชื้ออีกครั้ง
ควรดื่มน้ำให้มากขณะใช้ยานี้เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง
เนื่องจากยานี้สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังและปอดได้และอาจเป็นอันตรายต่อเด็กทารก ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรืออาจจะตั้งครรภ์ไม่ควรจับยานี้หรือหายใจเอาฝุ่นผงของยาเข้าไป
ยาไรบาไวรินบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาไรบาไวรินลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูก สอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ก่อนใช้ยาไรบาไวริน แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะ ความผิดปกติของเลือด เช่น ภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (sickle cell anemia) ฮีโมโกลบินต่ำ (hemoglobin) หรือโรคธารัสซีเมีย (thalassemia) โรคไต ปัญหาเกี่ยวกับตับอื่นๆ เช่น โรคตับอักเสบจากภูมิคุ้มกันตัวเอง (autoimmune hepatitis) โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน (pancreas problems) เช่น โรคตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) โรคเบาหวาน
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน เหนื่อยล้าผิดปกติ หรือมองเห็นไม่ชัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกัญชานั้น อาจทำให้อาการวิงเวียนหรือเหนื่อยล้ารุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวหรือการมองเห็นที่ชัดเจนจนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปรึกษาแพทย์หากคุณใช้กัญชา
สมรรถภาพของไตจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ยานี้จะกำจัดโดยไต ดังนั้นผู้สูงอายุอาจจะมีความเสี่ยงมากกว่าที่จะมีภาวะโลหิตจางเมื่อใช้ยานี้
ห้ามใช้ยาไรบาไวรินขณะตั้งครรภ์ ผู้ป่วยหญิงและคนรักหญิงของผู้ป่วยชายควรตรวจครรภ์ก่อนเริ่มใช้ยานี้ ระหว่างการรักษา และเป็นเวลา 6 เดือนหลังจากหยุดใช้ยา หากคุณตั้งครรภ์หรือคาดว่าอาจจะตั้งครรภ์โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันที
เนื่องจากยานี้สามารถดูดซึมผ่านทางผิวหนังและปอดได้ และอาจจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์หรืออาจจะตั้งครรภ์ไม่ควรจับยานี้หรือหายใจเอาฝุ่นผงของยาเข้าไป
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายานี้สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้หรือไม่ เนื่องจากโอกาสในการเป็นอันตรายต่อทารกจึงไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ขณะให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
ยาไรบาไวรินจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด X โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
อาจเกิดอาการคลื่นไส้ ท้องร่วง ท้องไส้ปั่นป่วน ปวดหัว วิงเวียน มองเห็นไม่ชัด นอนไม่หลับ ไอ ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลดหรือเพิ่มขึ้น ผิวแห้ง หรือการรับรสหรือการได้ยินเปลี่ยนแปลง หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้นโปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้ เหนื่อยล้าหรืออ่อนแรงผิดปกติ หัวใจเต้นเร็ว รัว หรือผิดปกติ ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ การมองเห็นเปลี่ยนแปลง มีรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย ปัสสาวะสีคล้ำ ดวงตาหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง
รับการรักษาในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงมากดังต่อไปนี้ ปวดหน้าอก ปวดกรามหรือแขนข้างซ้าย ปวดท้องหรือหลังส่วนล่าง อุจจาระสีคล้ำหรือสีเลือด
การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ยาที่อาจจะมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่ ยาลดกรด ยาไดดาโนซีน (didanosine) ยาซิโดวูดีน (zidovudine)
ยาไรบาไวรินอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ยาไรบาไวรินอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ยาไรบาไวรินอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคตับอักเสบซีเรื้อรัง
ยาแคปซูล ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บี (peginterferon alfa-2b)
น้ำหนักน้อยกว่า 66 กก. 400 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
66-80 กก. 400 มก. รับประทานในตอนเช้า และ 600 มก. ในตอนเย็น
81-05 กก. 600 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
น้ำหนักมากกว่า 105 กก. 600 มก. รับประทานในตอนเช้า และ 800 มก. ในตอนเย็น
ระยะเวลาการรักษา
ใช้ร่วมกับยาอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บี
75 กก. หรือน้อยกว่า 400 มก. รับประทานในตอนเช้า และ 600 มก. ในตอนเย็น
น้ำหนักมากกว่า 75 กก. 600 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาการรักษา
คำแนะนำ
ข้อบ่งใช้ที่ได้รับการยอมรับ ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บีหรือยาอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บี เพื่อรักษาโรคตับอักเสบซีในผู้ป่วยโรคตับระยะต้น
ยาเม็ด
ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2เอ
คำแนะนำ
ข้อบ่งใช้ที่ได้รับการยอมรับ ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2เอเพื่อรักษาโรคตับอักเสบซีเรื้อรังในผู้ป่วยโรคตับระยะต้นและยังไม่เคยได้รับการรักษาด้วยยาอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial Virus)
(ไม่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา [FDA])
กรณีศึกษา ละลายยาหนึ่งขวด (6 กรัม) และให้ผ่านทางเครื่องเอสพีเอจี-2 เป็นเวลา 22 ชั่วโมงติดต่อกัน ทุกวันเป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน
การปรับขนาดยาสำหรับไต
ยาแคปซูล ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์ (CrCl) น้อยกว่า 50 มล./นาที ห้ามใช้ยา
ยาเม็ด
ผู้ใหญ่
ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2เอ
ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์ 30-50 มล./นาที ขนาดยาทางเลือกคือ 200 มก. และ 400 มก. รับประทานวันเว้นวัน
ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์น้อยกว่า 30 มล./นาที 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ
การปรับขนาดยา
ขนาดยาจะต้องแตกต่างตามลักษณะโรคเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละราย (เช่นสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส) โรคหัวใจที่มีอยู่ก่อนแล้ว และการเกิดผลข้างเคียงหรือความผิดปกติที่ตรวจพบได้ในห้องแล็บ
หากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือความผิดปกติที่ตรวจพบได้ในห้องแล็บระหว่างการใช้ยาร่วมกัน ควรปรับขนาดยาหรือหยุดใช้ยาจนกว่าผลข้างเคียงจะบรรเทาหรือความรุนแรงลดลงหากเหมาะสม ควรหยุดการรักษาโดยใช้ยาร่วมกันหากยังมีอาการแพ้ยาอยู่หลังจากปรับขนาดยา
ผู้ใหญ่ (ที่มีการทำงานของไตเป็นปกติ)
ยาแคปซูล ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
ค่าฮีโมโกลบิน 8.5 จนถึงน้อยกว่า 10 กรัม/เดซิลิตร ในผู้ป่วยที่ไม่เคยเป็นโรคประวัติ
ขนาดลดขนาดยาครั้งแรก ควรลดขนาดยาลงมา 200 มก./วัน (เว้นแต่ว่าผู้ป่วยจะใช้ยาในขนาด 1400 มก./วัน ควรลดขนาดยาลงมา 400 มก./วัน)
ขนาดลดขนาดยาครั้งที่สอง (หากจำเป็น) ควรลดขนาดยาเพิ่มอีก 200 มก./วัน
สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่เสถียรที่มีค่าฮีโมโกลบินลดลง 2 กรัม/เดซิลิตรขึ้นไปในช่วงเวลาใดๆ ภายในช่วงระยะเวลา 4 สัปดาห์ระหว่างการรักษา ควรลดขนาดยาลงอย่างถาวร 200 มก./วัน
ควรหยุดใช้ยาอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บี (ชนิดเพกไกเลตและนอนเพกไกเลต) ร่วมกับยาไรบาไวรินถ้าหาก
หยุดการรักษา
ยาเม็ด
ผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ
ค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 10 กรัม/เดซิลิตร 200 มก. รับประทานในตอนเช้า และ 400 มก. ในตอนเย็น
ค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 8.5 กรัม/เดซิลิตร หยุดการรักษา
ผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคหัวใจที่เสถียร
สำหรับผู้ป่วยที่มีค่าฮีโมโกลบินลดลง 2 กรัม/เดซิลิตรขึ้นภายในช่วงระยะเวลา 4 สัปดาห์ 200 มก. รับประทานในตอนเช้า และ 400 มก. ในตอนเย็น
ผู้ที่มีค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 12 กรัม/เดซิลิตร แม้ว่าจะผ่านไปแล้ว 4 สัปดาห์หลังจากลดขนาดยา หยุดการรักษา
คำแนะนำ
หยุดการรักษา
กุมารเวชศาสตร์ (ที่มีการทำงานของไตเป็นปกติ)
ยาแคปซูล ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
ค่าฮีโมโกลบิน 8.5 จนถึงน้อยกว่า 10 กรัม/เดซิลิตร ในผู้ป่วยที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจ
ขนาดลดขนาดยาครั้งแรก ควรลดขนาดยาไปถึง 12 มก./กก./วัน แบ่งรับประทานสองครั้ง
ขนาดลดขนาดยาครั้งที่สอง (หากจำเป็น) ควรลดขนาดยาไปถึง 8 มก./กก./วัน แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจที่มีค่าฮีโมโกลบินลดลง 2 กรัม/เดซิลิตรขึ้นภายในช่วงระยะเวลา 4 สัปดาห์ของการรักษา ควรทำการประเมินผลและตรวจเลือดทุกสัปดาห์
ควรหยุดใช้ยาอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บี (ชนิดเพกไกเลตและนอนเพกไกเลต) ร่วมกับยาไรบาไวรินหาก
หยุดการรักษา
ยาเม็ด
ค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 10 กรัม/เดซิลิตร ในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ หรือค่าฮีโมโกลบิน ลดลง 2 กรัม/เดซิลิตรขึ้นไป ภายในช่วงเวลา 4 สัปดาห์สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจที่เสถียร
23-33 กก. 200 มก. รับประทานในตอนเช้า
34-59 กก. 200 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
60 กก. ขึ้นไป 200 มก. รับประทานในตอนเช้า และ 400 มก. ในตอนเย็น
ค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 8.5 กรัม/เดซิลิตร ในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ หรือค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 12 กรัม/เดซิลิตร แม้ว่าจะลดขนาดยาไปแล้ว 4 สัปดาห์สำหรับผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคหัวใจที่เสถียร หยุดการรักษา
คำแนะนำ
หยุดการรักษา
การฟอกไต
ยาไรบาไวรินสำหรับรับประทานนั้นจะไม่ได้รับการกำจัดโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis)
ยาแคปซูล ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์น้อยกว่า 50 มล./นาที ห้ามใช้ยา
ยาเม็ด
ผู้ใหญ่
ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2เอ
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ
คำแนะนำอื่นๆ
คำแนะนำการใช้ยา
การเก็บรักษา
เทคนิคการคืนรูปยาและการเตรียมยา
ยาสารละลายสำหรับพ่น ควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต
ทั่วไป
การเฝ้าระวัง
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคอาร์เอสวี
20 มก./มล. โดยให้เป็นยาสารละลายเริ่มต้นผ่านทางเครื่องเอสพีเอจี-2 โดยพ่นยาติดต่อกันเป็นเวลา 12-18 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 3-7 วัน
คำแนะนำ
ข้อบ่งให้ที่ได้รับการยอมรับ สำหรับการรักษาทารกและเด็กเล็กที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่มีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างอย่างรุนแรงเนื่องจากการติดเชื้ออาร์เอสวี
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคตับอักเสบซี
ยาแคปซูล ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
อายุ 3 ปีขึ้นไป
ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บี หรือยาอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บี 15 มก./กก. แบ่งรับประทานวันละสองครั้ง
ขนาดของยาไรบาไวรินตามน้ำหนักตัว
น้อยกว่า 47 กก. 15 มก./กก. (ยาสารละลายสำหรับรับประทาน) แบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง
47-59 กก. 400 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
60-73 กก. 400 มก. รับประทานในตอนเช้า และ 600 มก. ในตอนเย็น
มากกว่า 73 กก. 600 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
ระยะเวลาการรักษา
คำแนะนำ
ข้อบ่งใช้ที่ได้รับการยอมรับ ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บีหรือยาอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2บี เพื่อรักษาโรคตับอักเสบซีในผู้ป่วยโรคตับระยะต้น
ยาเม็ด
อายุ 5 ปีขึ้นไป
ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2เอ
23-33 กก. 200 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
34-46 กก. 200 มก. รับประทานในตอนเช้า และ 400 มก. ในตอนเย็น
47-59 กก. 400 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
60 ถึง 74 กก. 400 มก. รับประทานในตอนเช้า และ 600 มก. ในตอนเย็น
75 กก. ขึ้นไป 600 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาการรักษา
คำแนะนำ
ข้อบ่งใช้ที่ได้รับการยอมรับ ใช้ร่วมกับยาเพกอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2เอเพื่อรักษาโรคตับอักเสบซีเรื้อรังในผู้ป่วยโรคตับระยะต้นและยังไม่เคยได้รับการรักษาด้วยยาอินเตอร์เฟอรอน อัลฟา
ข้อควรระวัง
ยารับประทาน ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 3 ปี
ยาพ่น มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพแค่เฉพาะกับทารกและเด็กเล็กที่รับการรักษาในโรงพยาบาล ไม่ใช่สำหรับการใช้ในผู้ใหญ่
ขนาดและรูปแบบของยามีดังนี้
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย
ทีม Hello คุณหมอ
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย