จูบ เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่อาจมีความหมายแตกต่างกันออกไปในแต่ละวัฒนธรรม แต่มักจะรับรู้โดยทั่วไปว่า การจูบเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่งที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตได้
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย
จูบ เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่อาจมีความหมายแตกต่างกันออกไปในแต่ละวัฒนธรรม แต่มักจะรับรู้โดยทั่วไปว่า การจูบเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่งที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตได้
เมื่อจูบกับคนรัก สมองจะหลั่งสารเคมีแตกต่างกันขึ้นอยู่กับบริบท โดย ดร.เฮเลน ฟิชเชอร์ ศาสตราจารย์วิชามานุษยวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยรัทเจอร์ส ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลว่า การจูบขึ้นอยู่กับบริบท โดยอาจแบ่งเป็น 3 ขั้น ได้แก่
การจูบจึงอาจให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าในบริบทนั้นมีรู้สึกอย่างไร และสารเคมีในสมองชนิดใดหลั่งออกมา
การจูบสามารถกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข ได้แก่ ฮอร์โมนออกซิโทซิน โดพามีน (Dopamine) และเซโรโทนิน (Serotonin) ที่จะทำให้รู้สึกดี รู้สึกร่าเริง และกระตุ้นให้เกิดความรักและความผูกพัน นอกจากนี้ ยังช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนเครียดอีกด้วย
ออกซิโทซิน (Oxytocin) คือ ฮอร์โมนที่เชื่อมความสัมพันธ์ การปล่อยฮอร์โมนออกซิโทซินอย่างรวดเร็วในตอนจูบจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกรักและผูกพัน การจูบกับคนรักจึงอาจช่วยสร้างความพึงพอใจในความสัมพันธ์ และอาจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ในระยะยาว
การจูบอาจช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียด เนื่องจากร่างกายหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินที่ช่วยลดความกังวล และเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย นอกจากการจูบแล้ว การสื่อสารอย่างอื่น เช่น การกอด การบอกรัก ต่างก็ส่งผลต่อการจัดการความเครียดด้วยเช่นกัน
การจูบดีต่อสุขภาพหัวใจ เนื่องจากสามารถเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจด้วยการทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น จึงอาจช่วยลดความดันโลหิตได้ทันที
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่ในวารสาร Microbiomejournal เมื่อปี พ.ศ. 2557 พบว่า คู่รักที่จูบกันบ่อยจะมีไมโครไบโอต้า (Microbiota) หรือจุลินทรีย์ในร่างกายชนิดเดียวกันในน้ำลายและบนลิ้น การแลกน้ำลายจึงอาจสามารถเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันได้ เนื่องจากการได้รับเชื้อโรคใหม่จะเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
การจูบแบบโรแมนติกนำไปสู่ความต้องการทางเพศ และมักจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่ทำให้ผู้หญิงตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ในน้ำลายยังมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ยิ่งจูบอย่างโรแมนติกนานขึ้นเท่าไหร่ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนก็จะหลั่งออกมามากขึ้นเท่านั้น
การศึกษาพบว่า การจูบอาจช่วยบรรเทาอาการลมพิษอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงอาการแพ้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับละอองเกสร และไรฝุ่นในครัวเรือน นอกจากนี้ ความเครียดยังเป็นปัจจัยที่ทำให้อาการแพ้แย่ลง ดังนั้น การจูบจึงอาจส่งผลในแง่ที่ช่วยลดความเครียด และอาจช่วยลดอาการแพ้ได้ด้วย
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่ในวารสาร Western Journal of Communication เมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยให้คู่รักจูบแบบโรแมนติกบ่อยขึ้น พบว่า 6 สัปดาห์ผ่านไป การรับรู้ความเครียด ความพึงพอใจในความสัมพันธ์ และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งการมีปริมาณคอเลสเตอรอลลดลง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลายโรค เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง
การจูบ สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งน้ำลายจะช่วยในการกลืนอาหาร ช่วยทำให้ช่องปากชุ่มชื้น และช่วยทำให้เศษอาหารไม่ติดตามซอกฟัน จึงอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันฟันผุได้
แม้การจูบอาจส่งผลดีต่อสุขภาพหลายประการ แต่ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพบางประการได้ เนื่องจากการจูบอาจทำให้เชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ที่อยู่ในสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก หรือเลือด ส่งต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนได้ผ่านการสัมผัส ฝอยละอองขนาดใหญ่ ละอองขนาดเล็ก และเมื่อได้รับเชื้อโรค ก็อาจส่งผลให้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดธรรมดา โรคไข้และต่อมน้ำเหลืองโต (Glandular Fever) โรคเริม โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคหูด โรคไข้กาฬหลังแอ่น เป็นต้น
วิธีเหล่านี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจากการจูบได้
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย
สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย