backup og meta

อะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine) หรือ เอ็น-อะเซทิลซิสเทอีน (N-Acetylcysteine) กับคุณสมบัติน่าทึ่งในการต้านพิษในร่างกาย

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย แวววิกา ศรีบ้าน · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    อะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine) หรือ เอ็น-อะเซทิลซิสเทอีน  (N-Acetylcysteine) กับคุณสมบัติน่าทึ่งในการต้านพิษในร่างกาย

    อะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine) หรือ เอ็น-อะเซทิลซิสเทอีน (N-Acetylcysteine) มักเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในตัวยาทรงประสิทธิภาพ สำหรับบรรเทาอาการไอแบบมีเสมหะ ด้วยคุณสมบัติโดดเด่นในการช่วยละลายเสมหะ แต่นอกเหนือจากคุณสมบัติในฐานะยาละลายเสมหะแล้ว ยาตัวนี้ยังมีบทบาทสำคัญต่อการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพในอีกหลายด้านที่เราไม่เคยรู้มาก่อน บทความนี้จะทำให้คุณรู้จักประโยชน์ของตัวยานี้ดียิ่งขึ้น

    อะเซทิลซิสเทอีน หรือ เอ็น-อะเซทิลซิสเทอีน คืออะไร

    อะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine) หรือเอ็น-อะเซทิลซิสเทอีน (N-Acetylcysteine) หรือเรียกโดยย่อว่า NAC จัดเป็นอนุพันธ์หนึ่งของกรดอะมิโนชนิด แอล-ซิสเทอีน (L-cysteine) ลักษณะเป็นผลึกสีขาวละลายน้ำและแอลกอฮอล์ได้ดี ในระยะแรก ถูกนำมาใช้เป็นยาละลายเสมหะในผู้ป่วยโรคซีสติกไฟโบรซีส (cystic fibrosis) เนื่องจากมีคุณสมบัติในการทำให้โมเลกุลเสมหะแตกตัว ลดความข้นเหนียวของเสมหะ ทำให้ร่างกายสามารถขับออกมาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

    อะเซทิลซิสเทอีน (เอ็น-อะเซทิลซิสเทอีน) ต้านพิษในร่างกายอย่างไร

    ภายหลังมีการศึกษาวิจัยและค้นพบว่า NAC มีคุณสมบัติในการต้านพิษในร่างกาย โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้กระบวนการควบคุมสารอนุมูลอิสระในร่างกายมีความสมดุลและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีคุณสมบัติด้านต่างๆ ดังนี้

    คุณสมบัติการช่วยสร้างกลูตาไธโอน

    กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกายถูกสังเคราะห์ขึ้นภายในเซลล์โดยใช้กรดอะมิโนซิสเทอีนเป็นสารตั้งต้น ในร่างกายจะพบกลูตาไธโอนได้ในอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต ตับอ่อน ปอด เลนส์ตา เซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์เม็ดเลือดขาว แต่มักพบในเซลล์ตับมากที่สุด

    ความสำคัญของกลูตาไธโอน คือ เป็นช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยการทำงานของตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทั่วไป ถ้าในเซลล์มีปริมาณกลูตาไธโอนต่ำกว่าร้อยละ 80 จะทำให้เซลล์ตายได้

    อย่างไรก็ตาม ร่างกายอาจมีปริมาณกลูตาไธโอนต่ำลงได้อันเนื่องจากมาหลายสาเหตุ เช่น ภาวะขาดสารอาหาร โรคที่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง โรคพิษสุราเรื้อรัง เมื่อกลูตาไธโอนลดต่ำลง จะทำให้กระบวนการควบคุมสารอนุมูลอิสระของร่างกายเสียสมดุลไปด้วย ในกรณีนี้ NAC จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกาย

    เมื่อเข้าสู่ร่างกาย NAC จะแตกตัวเป็นสารซิสเทอีน ซึ่งจะถูกนำไปยังเซลล์ตับเพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างกลูตาไธโอน และเริ่มต้นกระบวนการขจัดพิษออกจากร่างกาย และทำลายสารอนุมูลอิสระในร่างกายไม่ให้มีมากเกินไป

    คุณสมบัติต้านการอักเสบ

    มีผลงานการวิจัยและการทดลองการใช้ NAC ในทั้งคนและสัตว์เพื่อศึกษาฤทธิ์การต้านการอักเสบ พบว่าสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดการอักเสบได้หลายชนิด รวมทั้งช่วยลดแรงกระตุ้นการสร้างสารสื่อกลางที่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายอีกด้วย

    คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ

    จากการวิจัยพบว่า NAC มีฤทธิ์ในการดักจับอนุมูลอิสระ (radical scavenging) และฤทธิ์ในการจับกับโลหะที่สามารถเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชัน (metal chelation) รวมทั้งยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เช่น กลูตาไธโอน ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง

    ประโยชน์ของอะเซทิลซิสเทอีน (เอ็น-อะเซทิลซิสเทอีน) ในการรักษาโรคต่างๆ

    ปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในการใช้ยาตัวนี้ในการรักษาโรคหรือภาวะทางสุขภาพ ในกรณีดังต่อไปนี้

    ภาวะพิษต่อตับที่เกิดจากการได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด

    ในการรักษานี้ ตัวยา NAC จะทำหน้าที่ลดความรุนแรงของพิษที่อาจทำลายเซลล์ตับ โดยจะเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ กลูตาไธโอน ขึ้นมาเพิ่มเพื่อชดเชยกลูตาไธโอนที่ใช้หมดไปในกระบวนการกำจัดยาพาราเซตามอลส่วนเกินที่เป็นพิษต่อตับ การรักษามักใช้ยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และยารับประทาน

    ภาวะไตอักเสบจากสารทึบรังสี

    ภาวะไตอักเสบจากสารทึบรังสี คือการบาดเจ็บของไตที่เกิดขึ้นภายหลังการได้รับสารทึบรังสีทางหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากระบบไหลเวียนเลือดบริเวณไตลดลง ทำให้เนื้อเยื่อในไตบาดเจ็บเพราะขาดอ็อกซิเจน บทบาทของ NAC ในที่นี้คือ การขยายหลอดเลือดบริเวณไตเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนมาหล่อเลี้ยงเซลล์ รวมทั้งยังสามารถป้องกันการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณไตได้อีกด้วย

    โรคซีสติกไฟโบรซีส (Cystic Fibrosis) และ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD)

    ยานี้ลดความเหนียวข้นของเสมหะในผู้ป่วยได้ดี รวมทั้งช่วยขับเสมหะในปอดด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถลดการสะสมของเสมหะ ลดการกระตุ้นการสร้างเมือกในทางเดินหายใจ ดังนั้น จึงสามารถป้องกันภาวะการหลั่งเมือกออกมามากกว่าปกติได้นั่นเอง จึงสามารถรักษาอาการของผู้ป่วยโรคซิสติกไฟโบรซิส และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ป้องกันยาที่มีพิษต่อประสาทหู

    จากการทดลองทางการแพทย์พบว่ายานี้สามารถป้องกันการทำลายประสาทหูจากยาซิสพลาติน (Cisplatin) ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งแบบเคมีบำบัดได้

    โรคความผิดปรกติทางสมอง

    จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่าการมีปริมาณกลูตาไธโอนบกพร่องสัมพันธ์กับการเกิดโรคความผิดปกติทางสมองต่างๆ จึงมีการนำคุณสมบัติในการช่วยสร้างกลูตาไธโอนมาใช้ในผู้ป่วยโรคความผิดปรกติทางสมองอย่างกว้างขวาง เช่น โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัย หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย แวววิกา ศรีบ้าน · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา