backup og meta

วิธีเวิร์คๆ ในการหักห้ามใจไม่ให้อยากกิน ของหวาน

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย ออมสิน แสนล้อม · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    วิธีเวิร์คๆ ในการหักห้ามใจไม่ให้อยากกิน ของหวาน

    อยากกินของหวาน เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ถ้าไม่ยับยั้งความรู้สึกนั้นเอาไว้ อาจทำให้เรามีน้ำหนักเกินได้  วันนี้ Hello คุณหมอ จะมาแนะนะเคล็ดลับในการ งดของหวาน สำหรับทุกคน ก่อนที่จะสายเกินไป

    เคล็ดลับ งดของหวาน

    อย่าปล่อยให้ตัวเองหิว

    คุณต้องแยกให้ออกนะระหว่างความรู้สึกหิวกับความรู้สึกอยากกินโน่นกินนี่ เพราะความรู้สึกอยากนั้นไม่ใช่เสียงเรียกร้องของร่างกาย แต่เป็นเสียงเรียกร้องจากสมอง เพื่อจะได้อะไรมาช่วยให้หลั่งสารโดพามีน (ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกพึงพอใจ) ออกมาได้เยอะๆ ถ้าความรู้สึกอยากนั้นเกิดขึ้นในขณะที่คุณหิว ก็เป็นอะไรที่หักห้ามจิตใจได้ยาก แต่เราสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการกินอะไรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทันที ฉะนั้น จึงควรตุนอาหารที่ดีต่อสุขภาพเอาไว้ อาหารประเภทโปรตีน อย่างเช่น เนื้อสัตว์ ปลา และไข่ จะช่วยเยียวยาความรู้สึกหิวได้ดีมาก การกินอาหารแบบจริงๆ จังๆ อาจไม่สามารถทดแทนความหวานอย่างที่คุณต้องการได้ แต่ถ้าคุณอยากจะลดน้ำหนักจริงๆ ล่ะก็ นี่ก็นับเป็นวิธีที่คุ้มค่าในระยะยาว

    อาบน้ำร้อน

    การอาบน้ำร้อนอาจช่วยดับความรู้สึกอยากกินของหวานของเราลงได้ โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้อาบน้ำร้อน แต่ไม่ต้องร้อนถึงขนาดทำให้ผิวไหม้นะ เอาแค่ร้อนพอจะไล่ความรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวออกไปได้ ปล่อยให้น้ำร้อนรดบนหลังบนไหล่อย่างน้อยๆ 5-10 นาที ซึ่งหลังจากที่คุณเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว ก็น่าจะมีความรู้สึกเบลอๆ เหมือนตอนที่นั่งอยู่ในห้องซาวน่าเป็นเวลานานๆ นั่นแหละ ซึ่งเมื่อมาถึง ณ จุดนี้ ความอยากกินของหวานก็น่าจะมลายหายไปหมดแล้ว

    ออกไปเดินเล่น

    การออกไปเดินก็อาจช่วยดับความรู้สึกกินของหวานให้คุณได้ด้วยนะ หรือถ้าคุณเป็นนักวิ่ง การวิ่งก็จะยิ่งส่งผลได้ดีกว่า ซึ่งทั้งการวิ่งและการเดินนั้นจะส่งผลดีต่อคุณสองประการด้วยกัน คือหนึ่ง ทำให้คุณอยู่ห่างไกลจากอาหารที่กำลังรู้สึกอยากกิน และสอง การออกกำลังกายจะช่วยให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ออกมา ซึ่งสารเคมีชนิดนี้จะช่วยให้เรามีความรู้สึกดีๆ จนลืมความรู้สึกอยากกินของหวานไปเลย ถ้าคุณไม่สามารถออกไปนอกบ้านได้ ก็ลองใช้วิธีทำกายบริหาร วิดพื้น ยกน้ำหนัก หรือทำอะไรก็ได้ให้รู้สึกเหนื่อยและมีเหงื่อออกมาเยอะๆ

    ตัดไฟซะตั้งแต่ต้นลม

    สามวิธีที่กล่าวมาข้างต้นนั้น น่าจะเป็นวิธีที่ช่วยดับความอยากกินของหวานให้ใครๆ หลายคนได้ แต่ทางที่ดีก็ควรป้องกันไม่ให้ความรู้สึกอยากเช่นนั้นเกิดขึ้นมาจะดีกว่า ซึ่งวิธีการก็ง่ายมาก แค่โยนอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพนั้นทิ้งไป เพราะถ้าคุณมีพวกนั้นอยู่ในบ้าน ก็อาจสร้างปัญหาให้คุณได้ ตุนอาหารที่ดีต่อสุขภาพเอาไว้แทนซะดีกว่า นอกจากนี้ถ้าคุณกินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายหลายๆ ครั้งต่อสัปดาห์ ความรู้สึกอยากกินของหวานก็คงไม่เกิดขึ้นมาบ่อยๆ หรอก

    เคล็ดลับดับความอยาก

    เคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยยับยั้งความรู้สึกอยากกินของหวานให้คุณได้

  • ดื่มน้ำเยอะๆ มีผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าการปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ อาจทำให้มีความรู้สึกอยากกินโน่นนี้ขึ้นมาได้
  • กินผลไม้ การกินผลไม้ซักชิ้นสองชิ้นน่าจะช่วยสร้างความพึงพอใจให้คุณได้ในยามที่คุณอยากกินอะไรหวานๆ ตัวเลือกที่ดีก็คือกล้วย แอปเปิ้ล และส้ม
  • หลีกเลี่ยงสารทดแทนความหวาน ถ้าคุณรู้สึกว่าสารทดแทนความหวานนั้นคือตัวการที่ทำให้คุณอยากกินอะไรหวานๆ ล่ะก็ คุณก็ควรหลีกเลี่ยงตัวการร้ายนั้นเอาไว้ซะ
  • กินโปรตีนให้มากขึ้น โปรตีนเป็นอาหารที่ช่วยให้อิ่มท้องได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อท้องอิ่มแล้ว ความอยากกินโน่นอยากกินนี้ก็จะหมดไปโดยอัตโนมัติ
  • พูดคุยกับเพื่อน โทรศัพท์หาเพื่อนหรือออกไปพบใครที่เข้าใจถึงสิ่งที่คุณกำลังข่มความรู้สึกอยากอยู่ โดยชี้แจงให้เขาฟังว่าคุณกำลังจะฝ่าฟันความรู้สึกอยากกินของหวานนี้ไปให้ได้ และขอให้เขาพูดอะไร เพื่อเป็นการให้กำลังใจคุณหน่อย
  • นอนหนีปัญหา การนอนหลับพักผ่อนถือเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม และอาจช่วยป้องกันความรู้สึกอยากกินอะไรให้คุณได้ด้วย
  • หลีกเลี่ยงความเครียด การหลบเลี่ยงความเครียดก็คล้ายๆ กับการนอนนั่นแหละ อาจช่วยป้องกันความรู้สึกอยากกินอะไรหวานๆ ให้คุณได้
  • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือสถานที่ ที่อาจชวนให้คุณรู้สึกอยากกินอะไรขึ้นมา อย่างเช่น การเดินผ่านร้านแมคโดนัลหรือเคเอฟซี
  • กินวิตามินรวม วิตามินรวมจะช่วยป้องกันโรคขาดสารอาหารได้
  • อย่าปล่อยให้หิว พยายามให้ปล่อยให้ตัวเองหิวจัดๆ ในระหว่างมื้ออาหาร เพราะจะทำให้ไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกอยากของตัวเองเอาไว้ได้
  • Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค และการรักษาโรคแต่อย่างใด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย ออมสิน แสนล้อม · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา