backup og meta

วิธีรักษาอาการแสบช่องคลอด ทำได้อย่างไรบ้าง

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง · สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 07/06/2023

    วิธีรักษาอาการแสบช่องคลอด ทำได้อย่างไรบ้าง

    อาการแสบร้อนช่องคลอด อาจเป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพบางประการที่ควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยทั่วไป วิธีรักษาอาการแสบช่องคลอด จะแตกต่างกันไปตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ หากสังเกตว่าตัวเองมีอาการดังกล่าว ควรปรึกษาเภสัชกรหรือพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี

    อาการแสบช่องคลอด เกิดจากสาเหตุใดบ้าง

    อาการแสบช่องคลอด อาจเกิดจากหลายสาเหตุต่อไปนี้

    • ภาวะวัลโวดีเนีย (Vulvodynia)

    เป็นภาวะปวดบริเวณช่องคลอดเรื้อรังที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้อย่างแน่ชัด แต่อาจเกิดจากปัจจัยกระตุ้นที่เกี่ยวกับการสัมผัส เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การใส่ผ้าอนามัยแบบสอด ทำให้มีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือรู้สึกเจ็บบริเวณช่องคลอด บางครั้งอาจปวดลามไปทั่วอวัยวะเพศและทวารหนัก

    • อาการระคายเคืองช่องคลอด

    อาการระคายเคืองช่องคลอดจากการใช้สิ่งของที่ทำให้ช่องคลอดระคายเคืองเช่น ถุงยางอนามัย ผ้าอนามัยแบบแผ่น ผ้าอนามัยแบบสอด น้ำยาซักผ้า สเปรย์กำจัดขน ครีม สบู่ กระดาษชำระที่มีน้ำหอม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องคลอด รวมถึงการสวนล้างช่องคลอด อาจทำให้ช่องคลอดและบริเวณโดยรอบระคายเคือง และมีอาการแสบช่องคลอดได้

  • โรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis)

  • เกิดจากภายในช่องคลอดมีแบคทีเรียชนิดไม่ดีอย่างแบคทีเรียแอนแอโรบส์ (Anaerobes) มากเกินไป ส่งผลให้แบคทีเรียในช่องคลอดเสียสมดุล และทำให้มีอาการแสบ คัน ระคายเคืองช่องคลอด ร่วมกับมีตกขาวเป็นสีเทา สีเขียว หรือสีขาวจขุ่น ที่อาจส่งกลิ่นเหม็นคาว

    • โรคเชื้อราในช่องคลอด (Vaginal Candidiasis)

    มักเกิดจากเชื้อแคนดิดา แอลบิแคนส์ (Candida albicans) อาจทำให้เกิดอาการช่องคลอดและปากช่องคลอดแสบร้อนหรือบวมแดง มีตกขาวเป็นก้อนแป้งที่ไม่มีกลิ่น แต่จะรู้สึกคัน ระคายเคือง และอาจรู้สึกแสบหรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์หรือถ่ายปัสสาวะ

    • โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease หรือ STD)

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่อไปนี้ อาจทำให้เกิดอาการแสบช่องคลอด

    • โรคหนองในเทียม (Chlamydia) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียคลาไมเดีย (Chlamydia trachomatis) อาจทำให้เจ็บหรือแสบร้อนขณะถ่ายปัสสาวะ
    • โรคหนองใน (Gonorrhea) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียไนซีเรีย โกโนเรีย (Neisseria gonorrhoeae) อาจทำให้คันปากช่องคลอด เจ็บหรือแสบขณะถ่ายปัสสาวะ
    • โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัว และอาจทำให้มีอาการแสบร้อนช่องคลอด
    • โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ทำให้มีอาการคัน ระคายเคือง แสบร้อนช่องคลอด

    การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection หรือ UTI)

    เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลต่ออวัยวะหลายส่วนในระบบทางเดินปัสสาวะ แต่ชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้มีอาการปวดหรือแสบร้อนเวลาปัสสาวะ ถ่ายปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีเลือดปน

    เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงจะทำให้ผนังช่องคลอดบางและแห้งลง และอาจทำให้มีช่องคลอดระคายเคือง คัน และอาการแสบช่องคลอดเนื่องจากมีของเหลวหล่อเลี้ยงน้อยลง โดยเฉพาะหลังมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้มีอาการอื่น ๆ เช่น ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกตอนกลางคืน มีความต้องการทางเพศลดลง อารมณ์แปรปรวน ปวดศีรษะ

    วิธีรักษาอาการแสบช่องคลอด

    วิธีรักษาอาการแสบช่องคลอด สามารถทำได้ตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ดังนี้

    • อาการแสบช่องคลอดจากภาวะวัลโวดีเนีย อาจรักษาด้วยการทาเจลหล่อลื่นก่อนการมีเพศสัมพันธ์ รับประทานยาตามที่คุณหมอสั่งให้ กายภาพบำบัด การบำบัดทางจิตวิทยาและการรับคำปรึกษา การผ่าตัด เป็นต้น
    • อาการแสบช่องคลอดจากการระคายเคือง อาจรักษาและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำด้วยการหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และงดการสวนล้างช่องคลอด สำหรับผู้ที่มีอาการจากการใช้ถุงยางอนามัยแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเลือกชนิดถุงยางอนามัยที่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ง่าย
    • อาการแสบช่องคลอดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย บางครั้งโรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียอาจหายไปได้เอง แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรไปพบคุณหมอและรับการรักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะติดต่อกันจนหมดตามปริมาณและระยะเวลาที่คุณหมอสั่ง เพื่อควบคุมปริมาณแบคทีเรียและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
    • อาการแสบช่องคลอดจากการติดเชื้อรา อาจรักษาได้ด้วยการใช้ยาต้านเชื้อราในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ครีม ขี้ผึ้ง ยาเหน็บ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
    • อาการแสบช่องคลอดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาจรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ยาต้านปรสิต (Antiparasitic drugs) หรือยาอื่น ๆ ตามโรคที่เป็นสาเหตุ ทั้งนี้ ควรรักษาให้หายโดยเร็ว เพราะหากปล่อยไว้นานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflammatory disease หรือ PID) ภาวะมีบุตรยาก
    • อาการแสบช่องคลอดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อาจรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยผู้ป่วยควรใช้ยาติดต่อกันให้หมดตามที่คุณหมอสั่งแม้ว่าอาการจะหายไปแล้วก็ตาม เพื่อกำจัดเชื้อให้หมดไป ป้องกันเชื้อดื้อยาและการกลับมาเป็นอีกในภายหลัง
    • อาการแสบช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือน อาจรักษาได้ด้วยการใช้เอสโตรเจนชนิดเม็ดหรือครีมเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณช่องคลอด และการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์บริเวณอวัยวะเพศภายนอก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และอาจช่วยลดอาการแสบช่องคลอดได้

    วิธีป้องกันอาการแสบช่องคลอด

    การดูแลช่องคลอดและอวัยวะเพศด้วยวิธีเหล่านี้ อาจช่วยป้องกันอาการแสบช่องคลอดได้

    • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม เช่น ผ้าอนามัย กระดาษชำระ สเปรย์ระงับกลิ่นช่องคลอด
    • งดสวนล้างช่องคลอด เพราะอาจทำให้ช่องคลอดระคายเคืองและแบคทีเรียในช่องคลอดเสียสมดุล จนติดเชื้อได้ง่าย
    • ทำความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน้ำเปล่า และทำความสะอาดบริเวณภายนอกด้วยสบู่ที่ไม่มีน้ำหอม
    • สวมกางเกงชั้นในที่ระบายอากาศได้ดี และควรเปลี่ยนกางเกงในใหม่ทุกวัน
    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
    • หากอวัยวะเพศแห้ง ควรทาเจลหล่อลื่นก่อนมีเพศสัมพันธ์เพื่อลดการเสียดสีและการระคายเคือง
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าอาการแสบช่องคลอดจะดีขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการแกะเกาบริเวณที่มีอาการคัน ระคายเคือง หรือแสบ

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง

    สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


    เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 07/06/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา