โรคฝีในตับ หรือฝีตับ (Liver Abscess) คือหนองในตับที่มีอาการติดเชื้อในรูขนาดเล็ก ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่หลายประการ รวมทั้งกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เมื่อมีการติดเชื้อปรสิตที่ตับ อาจเกิดรูเล็ก ๆ และเกิดหนองขึ้น
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ
โรคฝีในตับ หรือฝีตับ (Liver Abscess) คือหนองในตับที่มีอาการติดเชื้อในรูขนาดเล็ก ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่หลายประการ รวมทั้งกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เมื่อมีการติดเชื้อปรสิตที่ตับ อาจเกิดรูเล็ก ๆ และเกิดหนองขึ้น
โรคฝีในตับ หรือฝีตับ (Liver Abscess) คือ โรคที่เกิดจากตับติดเชื้อ ทำให้ตับเป็นหนองหรือเป็นฝี ซึ่งอาจเป็นฝีจุดเดียวหรือหลายจุดก็ได้ ภาวะนี้พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย และหากอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่สุขอนามัยไม่ดี ก็อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้
ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กักเก็บพลังงานและโปรตีน รวมทั้งกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย หากมีฝีในตับ จะส่งผลต่อการทำงานของตับ และหากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โรคฝีในตับ อาจก่อให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
หากมีอาการข้างต้น ควรรีบไปพบคุณหมอ เพราะโรคฝึในตับอาจส่งผลให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
โรคฝีในตับ เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ ดังนี้
ปัจจัยต่อไปนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคฝีในตับได้
ข้อมูลที่นำเสนอในที่นี้ ไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
วิธีวินิจฉัยโรคฝีในตับที่นิยมใช้ คือ การอัลตราซาวด์ และการตรวจซีทีสแกน ในบางกรณี คุณหมออาจสอดเข็มเข้าไปในช่องท้องเพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อฝีในตับมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาโรคฝีในตับ คือ การกำจัดฝีหรือหนองและให้ยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะที่แตกต่างกันสองถึงสามชนิด โดยปกติแล้ว จะให้ยาปฏิชีวนะผ่านทางหลอดเลือดจนกว่าอาการไข้และอาการอักเสบจะหายไป และคุณหมออาจใช้สอดเข็มเข้าไปที่ฝีในตับเพื่อระบายหนองออก
ผู้ป่วยโรคฝีในตับจากการติดเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังจากให้ยาปฏิชีวนะและระบายหนองออก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคฝีในตับจากเชื้ออะมีบา อาการไข้จะทุเลาลงภายใน 4 -5 วัน หลังรับการรักษา ซึ่งผู้ป่วยควรดูแลตัวเองด้วยวิธีที่เหมาะสมดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้การรักษาโรคมีประสิทธิภาพที่สุด
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย
ทีม Hello คุณหมอ
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย