backup og meta

Body Fat หรือ ไขมันในร่างกาย มีวิธีคำนวณอย่างไร

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 30/01/2023

    Body Fat หรือ ไขมันในร่างกาย มีวิธีคำนวณอย่างไร

    Body Fat หรือ ไขมันในร่างกาย เป็นการสะสมของไขมันที่เกิดจากการรับประทานอาหารเข้าไปในแต่ละมื้อ โดยไขมันเหล่านี้ไม่มีการเผาผลาญเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน การมี Body Fat จำนวนมาก อาจสร้างความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังที่มีความรุนแรงได้ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2  โรคหัวใจ

    ทำความรู้จักกับ Body Fat

    Body Fat หรือ ไขมันในร่างกาย เป็นการสะสมของไขมันที่เกิดจากการรับประทานอาหารเข้าไปในแต่ละมื้อ โดยไขมันเหล่านี้ไม่มีการเผาผลาญเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน จึงอาจทำให้มีการสะสมของไขมันเกาะอยู่ใต้ผิวหนังตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา รอบเอว ที่สำคัญ ไขมันในร่างกาย มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ได้แก่

    • ไขมันขาว
    • ไขมันสีเบจ
    • ไขมันจำเป็น
    • ไขมันใต้ผิวหนัง
    • ไขมันในช่องท้อง

    สำหรับบางคน การมี Body Fat จำนวนมาก อาจสร้างความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังที่มีความรุนแรงได้ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2  โรคหัวใจ ซึ่งโรคที่กล่าวมาเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ยาก และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

    การคำนวณ Body Fat ประเภทต่าง ๆ

    การคำนวณ Body Fat จำเป็นต้องใช้วิธีการหาค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งเป็นเทคนิคการประเมินร่างกายเบื้องต้นว่ามีน้ำหนักที่จัดอยู่ในเกณฑ์ตามมาตรฐานหรือไม่ อีกทั้งยังสามารถใช้คำนวณกับผู้ที่อยู่ในภาวะน้ำหนักน้อย และน้ำหนักเกิน ได้อีกด้วย สำหรับเทคนิคการคำนวณต่าง ๆ สามารถทำได้ดังต่อไปนี้

    1. การวัดรอบเอว เป็นวิธีที่คุณสามารถตรวจสอบได้เองด้วยการนำสายวัดเอวมาพันรอบเอว โดยให้ต้นสายอยู่ระหว่างกึ่งกลาง หรือตรงสะดือ สำหรับเพศชายหากวัดได้ 94-102 ซม. (37-40 นิ้ว) อาจต้องได้รับการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน เช่นเดียวกันกับผู้หญิงที่มีรอบเอว 80-88 ซม. (31.5-34 นิ้ว)
    2. ใช้เครื่องวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง การวัดไขมันด้วยวิธีนี้อาจมีเครื่องมือที่มีชื่อเรียกว่า FAT Caliper เข้ามาช่วย โดยเป็นการวัดไขมันบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือตามส่วนต่าง ๆ ที่มีไขมันสะสม แต่ถึงอย่างไรผลลัพธ์ที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจาก เป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้แรงบีบซึ่งแต่ละครั้งที่ทำการวัดอาจใช้แรงบีบได้ไม่เท่ากัน
    3. นำน้ำหนัก และส่วนสูงมาคำนวณ นับว่าเป็นวิธีที่ผู้คนนิยมนำมาหาค่าดัชนีมวลกายมากที่สุด เพราะเนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว และใช้เวลาไม่นานในการคำนวณ

    สำหรับวิธีการคำนวณค่าดัชนีมวลกาย สามารถทำได้ตามตัวอย่างต่อไปนี้

    น้ำหนัก = 68 กก. ส่วนสูง 165 แปลเปลี่ยนใส่จุดทศนิยมก่อนนำมาคำนวณจะได้ 1.65 ซม.จากนั้นให้นำ 68 ÷ (1.65) 2 = 24.98 แต่การที่จะรู้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่มีน้ำหนักปกติหรือไม่นั้น สามารถนำมาเทียบได้จากตารางด้านล่างนี้

    ค่าดัชนีมวลกาย สถานะของน้ำหนัก
    ต่ำกว่า 18.5 น้ำหนักน้อย (ควรได้รับการเพิ่มน้ำหนัก)
    18.5-24.9 น้ำหนักปกติ
    25.0-29.9 น้ำหนักเกิน
    30.00 ขึ้นไป อ้วน (ควรได้รับการลดน้ำหนัก)

    หากจะให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากขึ้น อาจต้องขอเข้ารับการตรวจทดสอบ และวัดปริมาณไขมันสะสมจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพราะหากอยู่ในเกณฑ์ตัวเลขเกินมาตรฐานที่กำหนด คุณหมออาจมีการวางแผนในการลดน้ำหนัก และลดไขมันร่วมด้วย

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 30/01/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา