backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

โคลชิซิน (Colchicine)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรพิมพ์จิต วัฒนชโนบล


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

ข้อบ่งใช้

ยา โคลชิซิน ใช้สำหรับ

ยา โคลชิซิน (Colchicine) ใช้เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคเกาต์ (gout attacks) ในระยะกำเริบเฉียบพลัน โดยปกติแล้ว อาการของโรคเกาต์จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และเกี่ยวข้องแค่กับข้อต่อไม่กี่ส่วนเท่านั้น นิ้วหัวแม่เท้า เข่า หรือข้อเท้าคือบริเวณที่มักจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โรคเกาต์เกิดจากการที่เลือดมีปริมาณของกรดยูริก (uric acid) มากเกินไป จนอาจมีการตกผลึกของกรดยูริกในข้อต่อ ยา โคลชิซิน ทำงานโดยลดอาการบวม และลดการสะสมของผลึกกรดยูริก ที่ทำให้เกิดอาการปวดที่ข้อต่อ ยา โคลชิซิน ยังใช้เพื่อป้องกันอาการปวดท้อง เจ็บหน้าอก หรือปวดข้อต่อเนื่องจากโรคทางกรรมพันธุ์บางชนิด เช่น โรคไข้เมดิเตอร์เรเนียน (familial Mediterranean fever) โคลชิซิน ทำงานโดยการลดการสร้างโปรตีนบางชนิดในร่างกาย อย่างแอมีลอยด์เอ (amyloid A) ที่สะสมในร่างกายของผู้ที่เป็นโรคไข้เมดิเตอร์เรเนียน

ยาโคลชิซินไม่ใช่ยาแก้ปวด และไม่ควรใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดจากสาเหตุอื่น

การใช้ยาในด้านอื่น

ในส่วนนี้จะมีวิธีการใช้ยา ที่ไม่ได้รับอนุมัติให้แสดงบนฉลากยา แต่อาจได้รับการสั่งยาจากผู้เชี่ยวชาญด้านดูแลสุขภาพของคุณ ควรใช้ยานี้กับอาการที่ระบุอยู่ในส่วนนี้ ต่อเมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านดูแลสุขภาพของคุณเป็นผู้สั่งยานี้เท่านั้น

ยาโคลชิซินอาจใช้เพื่อลดอาการบวมและอักเสบในถุงลม ที่ครอบอยู่ส่วนนอกของหัวใจ เรียกว่าภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis)

วิธีใช้ยาโคลชิซิน

ควรอ่านแนวทางการใช้ยาที่ได้จากเภสัชกร ก่อนเริ่มใช้ยาโคลชิซิน และทุกครั้งที่คุณรับยาเพิ่ม หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร

รับประทานยาโคลชิซินพร้อมอาหาร หรือรับประทานแยกต่างหาก ตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด ขนาดยาที่แนะนำนั้นมีความหลากหลายมาก และอาจจะแตกต่างจากคำแนะนำต่อจากนี้ การรับประทานยามากกว่าที่แนะนำ อาจไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพของยา แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงได้ โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

หากคุณใช้ยาโคลชิซินเพื่อรักษาโรคเกาต์ ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างระมัดระวัง ยาโคลชิซินจะทำงานได้ดีที่สุด หากใช้เมื่อเริ่มมีสัญญาณของโรคเกาต์

ขนาดยาที่แนะนำคือ 1.2 มก. เมื่อเริ่มมีสัญญาณของโรคเกาต์ ตามด้วย 0.6 มก. ในหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ขนาดยาสูงสุดที่แนะนำคือ 1.8 มก. รับประทานในช่วงเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง โปรดสอบถามแพทย์ล่วงหน้า เกี่ยวกับเวลาที่คุณสามารถใช้ยานี้ซ้ำ หากมีอาการของโรคเกาต์อีกครั้ง

หากคุณรับประทานยาโคลชิซินเพื่อป้องกันโรคเกาต์ หรือป้องกันภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ควรสอบถามแพทย์เกี่ยวกับขนาดยา และตารางการใช้ยา ควรทำตามแนวทางของแพทย์อย่างเคร่งครัด

หากคุณใช้ยาโคลชิซินเพื่อป้องกันอาการปวด เนื่องจากโรคไข้เมดิเตอร์เรเนียน ขนาดยาปกติ คือ 1.2 ถึง 2.4 มก. ทุกวัน อาจรับประทานยาวันละครั้งหรือแบ่งเป็นสองครั้ง แพทย์อาจต้องปรับขนาดยาเพื่อควบคุมอาการหรือหากคุณมีผลข้างเคียง

ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ ยาอื่น หรืออาหารที่คุณรับประทาน และการตอบสนองต่อการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงรุนแรง อย่าเพิ่มขนาดยา ใช้บ่อยกว่า หรือใช้นานกว่าที่แพทย์กำหนด ผลข้างเคียงที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นได้ แม้จะใช้ยาในขนาดปกติตามที่แพทย์สั่ง

หากแพทย์ต้องการให้คุณใช้ยาโคลชิซินเป็นประจำ ควรใช้ยาเป็นประจำตามที่แพทย์สั่ง เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้จำง่ายขึ้น ควรรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน

หลีกเลี่ยงการรับประทานเกรปฟรุต หรือดื่มน้ำเกรปฟรุต ขณะกำลังใช้ยานี้ เว้นแต่แพทย์จะสั่ง เกรปฟรุตสามารถเพิ่มปริมาณของยาบางชนิดในกระแสเลือดได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

หากคุณกำลังใช้ยานี้เพื่อรักษาอาการของโรคไข้เมดิเตอร์เรเนียน แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง

การเก็บรักษายาโคลชิซิน

ยาโคลชิซินควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาโคลชิซินบางยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรอ่านคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย

ไม่ควรทิ้งยาโคลชิซินลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องได้จากเภสัชกร

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาโคลชิซิน

ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลือกใช้ยานี้หรือไม่ คุณและแพทย์ควรร่วมกันพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาเสียก่อน สำหรับยานี้ ควรพิจารณาดังต่อไปนี้

โรคภูมิแพ้

แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณมีหรือเคยมีอาการผิดปกติ หรืออาการแพ้ต่อยานี้ หรือยาอื่นๆ และควรแจ้งให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพของคุณทราบเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นๆที่คุณเป็น เช่น แพ้อาหาร สีย้อม สารกันบูด หรือสัตว์ สำหรับยาที่หาซื้อเอง ควรอ่านฉลากยาหรือส่วนประกอบบนบรรจุภัณฑ์ให้ละเอียด

เด็ก

ยังไม่มีงานวิจัยที่เหมาะสม เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอายุต่อผลของยาโคลชิซิน สำหรับเด็กที่เป็นโรคเกาต์ ยังไม่มีการพิสูจน์ประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้ยานี้

ยังไม่มีงานวิจัยที่เหมาะสมในปัจจุบัน ที่แสดงให้เห็นปัญหาเกี่ยวกับเด็กโดยเฉพาะ ที่จะจำกัดประโยชน์ของยาโคลชิซิน ในเด็กที่เป็นโรคไข้เมดิเตอร์เรเนียน แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ในเด็กที่เป็นโรคไข้เมดิเตอร์เรเนียน และอายุต่ำกว่า 4 ปี

ผู้สูงอายุ

ยังไม่มีงานวิจัยที่เหมาะสมในปัจจุบัน ที่แสดงให้เห็นปัญหาเกี่ยวกับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ที่จะจำกัดประโยชน์ของยาโคลชิซินในผู้สูงอายุ แต่ผู้สูงอายุมักจะมีปัญหากับไตหรือตับ ที่เกี่ยวข้องกับอายุ ซึ่งต้องการความระมัดระวัง และการปรับขนาดยา ในผู้ป่วยที่ได้รับยาโคลชิซิน

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนใช้ยานี้

ยาคีโตโรแลคจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา มีดังนี้

  • A = ไม่มีความเสี่ยง
  • B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C = อาจจะมีความเสี่ยง
  • D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X = ห้ามใช้
  • N = ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยาโคลชิซิน

รับการรักษาพยาบาลฉุกเฉินทันทีหากคุณมีสัญญาณหรืออาการแพ้ ได้แก่ ลมพิษ หายใจติดขัด บวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ

ติดต่อแพทย์ทันที หากคุณมีผลข้างเคียงที่รุนแรง ดังนี้

  • ปวดกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • มีอาการเหน็บชา ที่นิ้วมือหรือนิ้วเท้า
  • ริมฝีปาก ลิ้น หรือมือเป็นสีซีดหรือเป็นสีเทา
  • อาเจียนหรือท้องร่วงอย่างรุนแรง
  • มีรอยช้ำหรือเลือดออกได้ง่าย รู้สึกอ่อนแรงหรือเหนื่อยล้า
  • เป็นไข้ หนาวสั่น ปวดตามตัว มีอาการของโรคไข้หวัดใหญ่
  • ปัสสาวะเป็นเลือด
  • ปัสสาวะน้อยกว่าปกติหรือไม่ปัสสาวะเลย

ผลข้างเคียงที่รุนแรงน้อยกว่าอาจรวมถึง

  • อาการคลื่นไส้หรืออาเจียน ในระดับไม่รุนแรง ปวดกระเพาะอาหาร
  • มีอาการท้องในระดับไม่รุนแรง

ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาโคลชิซินอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

ไม่แนะนำการใช้ยาโคลชิซินกับยาดังต่อไปนี้ แพทย์อาจจะตัดสินใจไม่รักษาคุณด้วยยานี้หรือเปลี่ยนยาที่คุณกำลังใช้อยู่

  • อะบิราเทอโรนแอซิเตด (Abiraterone Acetate) อะมิโอดาโรน (Amiodarone), อะทาซานาเวียร์ (Atazanavir) อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin)
  • โบซีพรีเวียร์ (Boceprevir) โบซูทินิบ (Bosutinib)
  • แคปโตพริล (Captopril) คาร์วีไดลอล (Carvedilol) คลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin) โคบิซิสแตท (Cobicistat) โคนิแวปแทน (Conivaptan) ไซโคลสปอริน (Cyclosporine)
  • ดารุนาเวียร์ (Darunavir) ดิลไทอะเซม (Diltiazem) ด็อกโซรูบิซิน (Doxorubicin) ด็อกโซรูบิซิน ไฮโดรคลอไรด์ ไลโปโซม (Doxorubicin Hydrochloride Liposome) โดรเนดาโรน (Dronedarone)
  • อิริโทรมัยซิน (Erythromycin)
  • ฟิโลดิปีน (Felodipine)
  • ไอเดลาลิซิบ (Idelalisib) อินดินาเวียร์ (Indinavir) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) ไอวาแคฟเทอร์ (Ivacaftor)
  • คีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
  • โลมิทาไพด์ (Lomitapide) โลปินาเวียร์ (Lopinavir)
  • เนฟาโซโดน (Nefazodone) เนลฟินาเวียร์ (Nelfinavir) นิโลตินิบ (Nilotinib)
  • เควอซิทิน (Quercetin) ควินิดีน (Quinidine)
  • ราโนลาซีน (Ranolazine) ริโทนาเวียร์ (Ritonavir)
  • ซาควินาเวียร์ (Saquinavir) ไซมีพรีเวียร์ (Simeprevir) ซูนิทินิบ (Sunitinib)
  • ทีลาพรีเวียร์ (Telaprevir) เทลิโทรมัยซิน (Telithromycin) ทิก้ากรีลอ (Ticagrelor) ทิพล่านาเวียร์ (Tipranavir) โทโคเฟอร์โซแลน (Tocophersolan)
  • ยูลิพริสทอล (Ulipristal)
  • เวราพามิล (Verapamil)

โดยปกติแล้ว จะไม่แนะนำการใช้ยานี้กับยาดังต่อไปนี้ แต่อาจจำเป็นในบางกรณี หากคุณได้รับสั่งยาทั้งสองร่วมกัน แพทย์อาจต้องเปลี่ยนขนาดยา หรือความถี่ในการใช้ยา ตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งสอง

  • แอมพรีนาเวียร์ (Amprenavir), อะเพรบพิแทนท์ (Aprepitant), อะโทรวาสแตติน (Atorvastatin), เอลิกลัสแตท (Eliglustat), ฟีโนไฟเบรต (Fenofibrate), กรดฟีโนไฟบริก (Fenofibric Acid), ฟลูโคนาโซล (Fluconazole), ฟอสแอมพรีนาเวียร์ (Fosamprenavir), เจมไฟโบรซิล (Gemfibrozil), อินเตอร์เฟอรอน อัลฟา-2เอ (Interferon Alfa-2a), โลวาสแตติน (Lovastatin), พิทาวาสแตติน (Pitavastatin), ปราวาสแตติน (Pravastatin), รีเซอร์พีน (Reserpine), ซิมวาสแตติน (Simvastatin), ทาโครลิมัส (Tacrolimus)

การใช้ยาโคลชิซินกับยาดังต่อไปนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงบางอย่าง แต่การใช้ยาทั้งสองร่วมกันอาจเป็นการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ หากคุณได้รับสั่งยาทั้งสองร่วมกัน แพทย์อาจต้องเปลี่ยนขนาดยา หรือความถี่ในการใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งสองตัว

  • เบซาไฟเบรต (Bezafibrate)
  • ไซโปรไฟเบรต (Ciprofibrate)
  • โคลไฟเบรต (Clofibrate)
  • ไดจอกซิน (Digoxin)
  • ฟลูวาสแตติน (Fluvastatin)

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาโคลชิซินอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยาโคลชิซินอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะ

  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้
  • มีแผลที่กระเพาะอาหาร หรือมีปัญหาที่กระเพาะอาหารอื่นๆ เพราะอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน ทั้งยังสามารถทำให้ปัญหาบางอย่างในกระเพาะหรือลำไส้ แย่ลงได้อีกด้วย
  • ความผิดปกติกับเลือด เช่น โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (aplastic anemia) ภาวะเม็ดเลือดขาวชนิดแกรนูโลไซต์ลดต่ำลง (granulocytopenia) ปริมาณเม็ดเลือดขาวในเลือดต่ำ (Leukopenia) ภาวะขาดเม็ดเลือดทุกชนิด (pancytopenia) ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia)
  • มีปัญหาที่กล้ามเนื้อหรือระบบประสาท ควรใช้อย่างระมัดระวังเนื่องจากอาจทำให้อาการเหล่านี้แย่ลงได้
  • โรคไต
  • โรคตับ ผู้ป่วยที่มีสภาวะนี้ไม่ควรใช้ยานี้

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาโคลชิซินสำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเกาต์ฉับพลัน (Acute Gout)

ขนาดยาเริ่มต้นเมื่อโรคเกาต์กำเริบเฉียบพลัน : 1.2 มก. รับประทานเมื่อเริ่มมีสัญญาณการกำเริบของโรคเกาต์ ตามด้วย 0.6 มก. ในหนึ่งชั่วโมงให้หลัง

ขนาดยาสูงสุดเมื่อโรคเกาต์กำเริบเฉียบพลัน : 1.8 มก. รับประทานในช่วงระยะเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง

หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไซโตโครมพี450 3เอ4 (CYP450 3A4 inhibitors) ชนิดแรง รับประทาน 0.6 มก. ตามด้วย 0.3 มก. ในหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ไม่ควรรับประทานยาซ้ำภายใน 3 วัน

หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไซโตโครมพี450 3เอ4 ชนิดปานกลาง 1.2 มก. รับประทานครั้งเดียว ไม่ควรรับประทานยาซ้ำภายใน 3 วัน

หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งพีไกลโคโปรตีน (P-glycoprotein inhibitors) 0.6 มก. รับประทานครั้งเดียว ไม่ควรรับประทานยาซ้ำภายใน 3 วัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคไข้เมดิเตอร์เรเนียน (Familial Mediterranean Fever)

1.2 มก. ถึง 2.4 มก. รับประทานทุกวัน อาจแบ่งให้ยาใน 1 หรือ 2 ครั้ง

ควรเพิ่มขนาดยาเท่าที่จำเป็น เพื่อควบคุมโรค และเมื่อมีความทนต่อยาเพิ่มขึ้นที่ 0.3 มก./วัน จนถึงขนาดยาสูงสุดต่อวันที่แนะนำ หากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่สามารถทนได้ ควรลดขนาดลงที่ 0.3 มก./วัน

หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไซโตโครมพี450 3เอ4ชนิดแรง 0.6 มก. รับประทานทุกวัน อาจให้ในขนาดยา 0.3 มก. วันละสองครั้ง

หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไซโตโครมพี450 3เอ4 ชนิดปานกลาง 1.2 มก. รับประทานทุกวัน อาจให้ในขนาดยา 0.6 มก. วันละสองครั้ง

หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งพีไกลโคโปรตีน 0.6 มก. รับประทานทุกวัน อาจให้ในขนาดยา 0.3 มก. วันละสองครั้ง

ขนาดยาโคลชิซินสำหรับเด็ก

รับประทาน

  • อายุ 4 ถึง 6 ปี : 0.3 ถึง 1.8 มก. ทุกวัน แบ่งให้ยาเป็น 1 หรือ 2 ครั้ง
  • อายุ 6 ถึง 12 ปี : 0.9 ถึง 1.8มก. ทุกวัน แบ่งให้ยาเป็น 1 หรือ 2 ครั้ง
  • อายุมากกว่า 12 ปี : 1.2 ถึง 2.4 มก. ทุกวัน แบ่งให้ยาเป็น 1 หรือ 2 ครั้ง

ควรเพิ่มขนาดยาเท่าที่จำเป็นเพื่อควบคุมโรคและเมื่อมีความทนต่อยาเพิ่มขึ้นที่ 0.3 มก./วัน จนถึงขนาดยาสูงสุดที่แนะนำ หากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่สามารถทนได้ ควรลดขนาดลงที่ 0.3 มก./วัน

รูปแบบของยา

ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้

  • ยาเม็ด 0.25 มก. 0.5 มก. 0.6 มก. 1 มก.
  • ยาสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือด

กรณีฉุกเฉินหรือการใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

อาการของการใช้ยาเกินขนาดมีดังนี้

  • ปวดกระเพาะอาหาร
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • ท้องร่วง
  • มีรอยช้ำหรือเลือดออกผิดปกติ
  • เจ็บคอ เป็นไข้ หนาวสั่น หรือสัญญาณของการติดเชื้ออื่นๆ
  • ริมฝีปาก ลิ้น หรือฝ่ามือซีดหรือเป็นสีเทา
  • หายใจช้า
  • หัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้น

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติ ไม่ควรเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรพิมพ์จิต วัฒนชโนบล


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา