ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group
โพรพาฟีโนน (Propafenone) เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติที่รุนแรง (อาจถึงแก่ชีวิต) เช่น ภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติชั่วคราวที่เกิดในหัวใจห้องบน (Paroxysmal Supraventricular Tachycardia) และภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) ยานี้ใช้เพื่อฟื้นฟูอัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติและรักษาระดับการเต้นของหัวใจให้อยู่ในจังหวะปกติและคงที่
ยาโพรพาฟีโนน จัดเป็นยารักษาอาการหัวใจเต้นผิดปกติ (anti-arrhythmic drug) ทำงานโดยปิดกั้นการทำงานของสัญญาณไฟฟ้าภายในหัวใจที่สามารถทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติ การรักษาอาการหัวใจเต้นผิดปกตินั้นสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดสมองได้อีกด้วย
รับประทานยานี้พร้อมกับอาหารหรือรับประทานแยกต่างหาก ตามปกติ คือทุกๆ 8 ชั่วโมงหรือตามที่แพทย์กำหนด
ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษา
ควรใช้ยานี้เป็นประจำเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด และเพื่อให้ง่ายต่อการจำ ควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
ยาโพรพาฟีโนนควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาโพรพาฟีโนนบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาโพรพาฟีโนนลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ก่อนใช้ยาโพรพาฟีโนน ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ยานี้ หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (chronic bronchitis) หรือโรคถุงลมโป่งพอง (emphysema) ปัญหาเกี่ยวกับไต ปัญหาเกี่ยวกับตับ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอ็มจี (myasthenia gravis) โรคหัวใจทางพันธุกรรมบางชนิด อย่างโรคไหลตาย (Brugada Syndrome) เป็นต้น
ยาโพรพาฟีโนน อาจทำให้เกิดสภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจ เช่น กลุ่มอาการระยะคิวทียาว (QT prolongation) ในบางกรณีซึ่งพบได้ยาก กลุ่มอาการระยะคิวทียาวอาจทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติชนิดที่รุนแรง (อาจถึงแก่ชีวิต) และอาการอื่นๆ เช่น วิงเวียนอย่างรุนแรง หรือหมดสติ และจำเป็นต้องรับการรักษาในทันที
ความเสี่ยงในการเกิดระยะคิวทียาวนั้น อาจเพิ่มขึ้นหากคุณมีสภาวะหรือใช้ยาที่อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้ ก่อนใช้ยาโพรพาฟีโนน ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ และหากคุณมีสภาวะดังต่อไปนี้
ระดับของโพแทสเซียมหรือแมกนีเซียมในเลือดต่ำ ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดระยะคิวทียาวได้อีกด้วย ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากคุณกำลังใช้ยาบางอย่าง เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาขับน้ำ หรือหากคุณมีอาการเหงื่อออกมาก ท้องร่วง หรืออาเจียน ควรปรึกษากับแพทย์ถึงวิธีการใช้ยาอย่างปลอดภัย
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้กัญชานั้น อาจทำให้อาการวิงเวียนรุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปรึกษาแพทย์หากคุณใช้กัญชา
ก่อนการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบด้วยว่าคุณกำลังใช้ยานี้
ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มอาการระยะคิวทียาว (อ่านเพิ่มเติมด้านบน)
ในช่วงการตั้งครรภ์ ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น โปรดปรึกษาความเสี่ยงและประโยชน์กับแพทย์
ยานี้สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้และอาจเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ต่อทารก โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
ยาโพรพาฟีโนนจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
อาจเกิดอาการวิงเวียน ปวดหัว รู้สึกถึงรสชาติของเหล็กหรือรสเค็มในปาก คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก วิตกกังวล และเหนื่อยล้า หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
ควรแจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่พบได้ยากแต่รุนแรงมาก ดังต่อไปนี้
ควรรับการรักษาทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่พบได้ยากแต่รุนแรง ดังนี้
การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ยาจำนวนมากนอกเหนือจากยาโพรพาฟีโนนนั้นอาจจะส่งผล กระทบต่อการเต้นของหัวใจ (ระยะคิวทียาว) ทั้งยาอะมิโอดาโรน (amiodarone) ยาโดเฟทิลไลด์ (dofetilide) ยาฟลีคาอิไนด์ (flecainide) ยาพิโมไซด์ (pimozide) ยาโพรคาอินาไมด์ (procainamide) ยาควินิดีน (quinidine) ยาโซทาลอล (sotalol) ยาปฏิชีวนะแมคโครไลด์ (macrolide antibiotics) อย่างคลาริโทรมัยซิน (clarithromycin) หรืออิริโทรมัยซิน (erythromycin) และยาปฏิชีวนะควิโนโลนบางชนิด (quinolone antibiotics) อย่างสปาร์ฟลอกซาซิน (sparfloxacin) และอื่นๆ (อ่านเพิ่มเติมในส่วนข้อควรระวัง)
ยาอื่นๆ อาจส่งผลกระทบกับการกำจัดยาโพรพาฟีโนนออกจากร่างกายและส่งผลกระทบกับการทำงานของยาโพรพาฟีโนน เช่น ยาอะซูนาพรีเวีนร์ (asunaprevir) ยาเดซิพรามีน (desipramine) ยาคีโตโคนาโซล (ketoconazole) ยาออริสแตต (orlistat) ยาฟีโนบาร์บิทัล (phenobarbital) ยาเฟนีโทอิน (phenytoin) ยาไรแฟมพิน (rifampin) และยาต้านไวรัสเอชไอวีในกลุ่มพีไอ (HIV protease inhibitors) เช่นยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) หรือยาทิพรานาเวียร์ (tipranavir) และอื่นๆ
ยาโพรพาฟีโนนสามารถชะลอการกำจัดยาอื่นออกจากร่างกายของคุณและส่งผลกระทบกับการทำงานของยานั้นได้ เช่นยาไดจอกซิน (digoxin) ยาอิมิพรามีน (imipramine) ยาเมโทโพรลอล (metoprolol) ยาโพรพราโนลอล (propranolol) ยาวาฟาริน (warfarin) และอื่นๆ
ยาโพรพาฟีโนนอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ยาโพรพาฟีโนนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานหรือดื่มน้ำเกรปฟรุต ขณะที่กำลังใช้ยานี้นอกเสียจากแพทย์หรือเภสัชกรจะบอกว่าคุณสามารถทำได้อย่างปลอดภัย เกรปฟรุตนั้นสามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงของยานี้ได้ โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ยาโพรพาฟีโนน อาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาเริ่มต้น:
ยาออกฤทธิ์ทันที 150 มก. รับประทานทุกๆ 8 ชั่วโมง
ยาออกฤทธิ์นาน 225 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
ขนาดยาปกติ:
ยาออกฤทธิ์ทันที อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นไปโดยเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ถึง 4 วัน จนถึงขนาด 225 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง หากจำเป็นเพิ่มเป็น 300 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง
ยาออกฤทธิ์นาน อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นไปหลังจากรักษาไปแล้ว 5 วัน จนถึงขนาด 325 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยาในขนาดสูงถึง 425 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
ขนาดยาเริ่มต้น:
ยาออกฤทธิ์ทันที 150 มก. รับประทานทุกๆ 8 ชั่วโมง
ยาออกฤทธิ์นาน 225 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
ขนาดยาปกติ:
ยาออกฤทธิ์ทันที อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นไปโดยเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ถึง 4 วัน จนถึงขนาด 225 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง หากจำเป็นเพิ่มเป็น 300 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง
ยาออกฤทธิ์นาน อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นไปหลังจากรักษาไปแล้ว 5 วัน จนถึงขนาด 325 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยาในขนาดสูงถึง 425 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วจากหัวใจห้องล่าง
ขนาดยาเริ่มต้น:
ยาออกฤทธิ์ทันที 150 มก. รับประทานทุกๆ 8 ชั่วโมง
ยาออกฤทธิ์นาน 225 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
ขนาดยาปกติ:
ยาออกฤทธิ์ทันที อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นไปโดยเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ถึง 4 วัน จนถึงขนาด 225 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง หากจำเป็นเพิ่มเป็น 300 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง
ยาออกฤทธิ์นาน อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นไปหลังจากรักษาไปแล้ว 5 วัน จนถึงขนาด 325 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยาในขนาดสูงถึง 425 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
ขนาดยาเริ่มต้น:
ยาออกฤทธิ์ทันที 150 มก. รับประทานทุกๆ 8 ชั่วโมง
ยาออกฤทธิ์นาน 225 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
ขนาดยาปกติ:
ยาออกฤทธิ์ทันที อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นไปโดยเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ถึง 4 วัน จนถึงขนาด 225 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง หากจำเป็นเพิ่มเป็น 300 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง
ยาออกฤทธิ์นาน อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นไปหลังจากรักษาไปแล้ว 5 วัน จนถึงขนาด 325 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยาในขนาดสูงถึง 425 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง
การปรับขนาดยาสำหรับไต
ยังไม่มีการแนะนำแนวทางการปรับขนาดยาที่เฉพาะเจาะจง แต่ควรระมัดระวังการเลือกขนาดยา
การปรับขนาดยาสำหรับตับ
โดยทั่วไปแล้วขนาดยาปกติจะอยู่ที่ 20% ถึง 30% ของขนาดยาที่แนะนำตามปกติ
การปรับขนาดยา
ผู้ป่วยที่มีการขยายตัวอย่างมากของกลุ่มคลื่นคิวอาร์เอส (QRS complex) หรือมีภาวะสัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกปิดกั้น (AV block) ระดับสองหรือสาม ควรพิจารณาลดขนาดยา
ข้อควรระวัง
สำหรับผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ป่วยที่เคยมีการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหัวใจ ควรพิจารณาเพิ่มขนาดยาอย่างทีละน้อยในช่วงเริ่มต้นของการรักษา
ยังไม่มีการพิสูจน์ประโยชน์และความปลอดภัยของขนาดยาที่มากกว่า 900 มก. ต่อวัน
ยังไม่มีการพิสูจน์ความความปลอดภัยและประสิทธิภาพของขนาดยานี้สำหรับผู้ป่วยเด็ก ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจกับความปลอดภัยของยาก่อนการใช้ยา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อกับแพทย์หรือเภสัชกร
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย