backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ไวรัสตับอักเสบ (Viral Hepatitis)

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย จิดาภา ติยะสิริทานนท์ · แก้ไขล่าสุด 15/07/2020

ไวรัสตับอักเสบ (Viral Hepatitis)

ไวรัสตับอักเสบ (Viral Hepatitis) เป็นอาการติดเชื้อที่ตับ ทำให้เกิดแผลเป็นเรียกว่า ตับแข็ง อาจทำให้เป็นมะเร็งตับ ตับวาย หรือเสียชีวิตได้

คำจำกัดความ

ไวรัสตับอักเสบ คืออะไร

ไวรัสตับอักเสบ (Viral Hepatitis) เป็นอาการที่ตับติดเชื้อไวรัส ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเชื้อไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis Virus) การอักเสบเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมหรืออันตราย เช่น ไวรัส ที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งในร่างกาย จึงส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวมาในบริเวณนั้นเพื่อปกป้องร่างกาย อาการนี้ทำให้เกิดรอยแดง บวมหรือเจ็บในบางครั้ง

เชื้อไวรัสตับอักเสบจะทำลายตับ และทำให้เกิดแผลเป็นในตับ เรียกว่าตับแข็ง โดยอาการตับแข็งอาจทำให้เป็นมะเร็งตับ ตับวาย หรือเสียชีวิตได้ ตับทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารที่คุณรับประทานให้เป็นพลังงาน กำจัดแอลกอฮอล์และของเสียจากเลือด ช่วยกระเพาะอาหารและลำไส้ในการย่อยอาหาร รวมถึงสร้างโปรตีนที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ เพื่อควบคุมและหยุดการไหลของเลือดด้วย

ไวรัสตับอักเสบแบ่งได้เป็นหลายชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี ไวรัสเหล่านี้จะมีวิธีการถ่ายทอดเชื้อที่แตกต่างกัน

ไวรัสตับอักเสบพบได้บ่อยแค่ไหน

โรคไวรัสตับอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อย ผู้คนในวัยใดก็สามารถป่วยเป็นโรคนี้ได้ โรคนี้อาจควบคุมได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยง ไวรัสตับอักเสบเอ ส่งผลต่อผู้หญิงและผู้ชายในทำนองเดียวกัน ไวรัสตับอักเสบบี จะส่งผลต่อผู้หญิงต่างไปจากผู้ชาย ส่วนไวรัสตับอักเสบซี จะส่งผลต่อผู้หญิงต่างไปจากผู้ชายเช่นกัน โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

อาการ

อาการของ โรคไวรัสตับอักเสบ

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดคล้ายคลึงกัน อาการเหล่านี้ได้แก่

ผู้ที่เพิ่งจะติดเชื้อมักจะมีแนวโน้มที่จะมีอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมากกว่านั้น แต่บางรายก็ไม่มีอาการใด ๆ เลย เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ มักจะทำให้เกิดอาการ แต่คนส่วนมากเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี จะไม่มีอาการ

การตรวจเลือดบางชนิดอาจแสดงให้เห็นได้ว่าคุณมีไวรัสตับอักเสบหรือไม่ แม้ว่าคุณจะไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี หรือซีเรื้อรัง มักจะมีอาการเมื่อตับได้รับความเสียหายแล้ว

สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใด ๆ โปรดปรึกษาแพทย์

ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด

หากคุณมีอาการหรือสัญญาณใด ๆ ตามที่กล่าวไปข้างต้น หรือมีคำถาม ควรปรึกษาแพทย์ 

ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ

สาเหตุ

สาเหตุของไวรัสตับอักเสบ

ไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบเอ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮปพาไตติสชนิดเอ (Hepatitis A Virus หรือ HAV) เชื้อชนิดนี้จะแพร่โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบบี

เชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะแพร่ผ่านการสัมผัสกับของเหลวจากร่างกายผู้ติดเชื้อ เช่น เลือด ตกขาว น้ำอสุจิที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเฮปพาไตติสชนิดบี (Hepatitis B Virus หรือ HBV) การใช้เข็มฉีดยา มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ หรือใช้มีดโกนร่วมกับผู้ติดเชื้อ จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบซี

ไวรัสตับอักเสบซีเกิดจากเชื้อไวรัสเฮปพาไตติสชนิดซี (Hepatitis C Virus หรือ HCV) เชื้อดังกล่าวแพร่ผ่านการสัมผัสกับของเหลวจากผู้ติดเชื้อ ปกติแล้วผ่านทางการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และการมีเพศสัมพันธ์

ไวรัสตับอักเสบดี

ไวรัสตับอักเสบดี หรือที่เรียกว่าไวรัสตับอักเสบชนิดเดลตา (delta hepatitis) เป็นโรคตับชนิดรุนแรง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเฮปพาไตติสชนิดดี (Hepatitis D Virus หรือ HDV) เชื้อดังกล่าวจะแพร่ผ่านการสัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบดีเป็นการติดเชื้อเฮปพาไตติสชนิดหายาก ที่พบร่วมกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อไวรัสเฮปพาไตติสชนิดดีจะไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ หากไม่มีเชื้อไวรัสเฮปพาไตติสชนิดบีร่วมด้วย

ไวรัสตับอักเสบอี

ไวรัสตับอักเสบอี เป็นโรคที่แพร่ทางน้ำ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเฮปพาไตติสชนิดอี (Hepatitis E Virus หรือ HEV) เชื้อดังกล่าวพบมากในบริเวณที่มีสุขอนามัยที่ไม่ดี และมักจะเป็นผลมาจากการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระ อ้างอิงจากหน่วยป้องกันโรคติดต่อในสหรัฐอเมริกา มีรายงานโรคไวรัสตับอักเสบอีในตะวันออกกลาง เอเชีย อเมริกากลาง และแอฟริกา

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงของไวรัสตับอักเสบ

ปัจจัยเสี่ยงของ โรคไวรัสตับอักเสบ แต่ละประเภทนั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยและการรักษาโรค

ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัย โรคไวรัสตับอักเสบ

การซักประวัติและตรวจร่างกาย

ในการวินิจฉัยโรคตับอักเสบ ขั้นแรกแพทย์จะนำประวัติไปหาว่าคุณมีปัจจัยเสี่ยงใด ที่อาจทำให้คุณติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหรือไม่

ระหว่างตรวจร่างกาย แพทย์อาจกดบริเวณท้องเบา ๆ เพื่อดูว่ามีอาการเจ็บหรือกดเจ็บหรือไม่ แพทย์อาจจะสัมผัสถึงตับที่มีขนาดใหญ่ขึ้น หากผิวหนังหรือตาคุณเป็นสีเหลือง แพทย์อาจจะจดบันทึกระหว่างตรวจร่างกาย

การตรวจการทำงานของตับ

การตรวจการทำงานของตับจะใช้ตัวอย่างเลือด เพื่อดูการทำงานของตับว่ายังมีประสิทธิภาพดีหรือไม่ ผลการตรวจที่ผิดปกติ อาจเป็นข้อบ่งชี้แรกถึงโรค โดยเฉพาะหากคุณไม่ได้มีอาการใด ๆ ระหว่างการตรวจร่างกายเพื่อหาโรคตับ ระดับเอนไซม์ตับในปริมาณสูง อาจบ่งถึงความตึงเครียดหรือความเสียหายของตับ หรือการทำงานที่ผิดปกติ

การตรวจเลือดประเภทอื่น

หากผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติ แพทย์มักสั่งให้ตรวจเลือดประเภทอื่น เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรค การตรวจเหล่านี้อาจใช้เพื่อตรวจหาไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบ และยังใช้หาแอนติบอดีที่พบได้ทั่วไปในโรคต่าง ๆ เช่น ภูมิต้านทานทำลายเนื้อเซลล์ตับ (Autoimmune Hepatitis)

อัลตราซาวด์

การอัลตราซาวด์เพื่อตรวจช่องท้อง จะใช้คลื่นอัลตราซาวด์เพื่อสร้างภาพของอวัยวะภายในช่องท้อง ซึ่งจะทำให้แพทย์ได้เห็นภาพตับและอวัยวะใกล้เคียงอย่างชัดเจน รวมถึงยังทำให้ภาวะต่อไปนี้ด้วย

  • ของเหลวในช่องท้อง
  • ความเสียหายของตับ หรือตับมีขนาดใหญ่ขึ้น
  • เนื้องอกในตับ
  • ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ

บางครั้งตับอ่อนจะปรากฏบนรูปอัลตราซาวด์เช่นกัน นี่อาจเป็นการตรวจที่มีประโยชน์ในการหาสาเหตุของการทำงานผิดปกติของตับ

การตัดชิ้นเนื้อตับ

การตัดชิ้นเนื้อตับเป็นหัตถการที่มีการรุกล้ำร่างกาย ซึ่งแพทย์จะตัดตัวอย่างเนื้อเยื่อจากตับ วิธีนี้อาจทำทางผิวหนังโดยใช้เข็ม และไม่จำเป็นต้องผ่าตัดก็ได้ ปกติแล้ว แพทย์จะใช้อัลตราซาวด์เพื่อช่วยนำทางในการตัดชิ้นเนื้อตับ

การตรวจรูปแบบนี้ จะทำให้แพทย์สามารถระบุขั้นของการติดเชื้อหรือการอักเสบที่มีผลต่อตับ นอกจากนี้ ยังใช้เพื่อตรวจตัวอย่างของเซลล์ในตับที่ดูผิดปกติได้ด้วย

การรักษาไวรัสตับอักเสบ

ตับอักเสบบางชนิดและบางกรณีอาจหายได้โดยไม่ต้องมีการแทรกแซง แต่บางครั้งก็อาจทำให้เกิดแผลเป็นที่ตับหรือที่เรียกว่าตับแข็ง

ไวรัสตับอักเสบเอ

ไม่มีการรักษาไวรัสตับอักเสบเอที่เฉพาะเจาะจง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้ยาเสพติดระหว่างพักฟื้น ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ส่วนมากจะหายดีโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา

ไวรัสตับอักเสบบี

ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี จำเป็นต้องพักผ่อน และเลิกดื่มแอลกอฮอล์อย่างสิ้นเชิง แพทย์อาจจ่ายยาต้านไวรัสที่เรียกว่ายาอินเตอร์เฟียรอน (Interferon) หรือรักษาด้วยยาต้านไวรัสประเภทอื่น

ไวรัสตับอักเสบซี

ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี อาจได้รับยาต้านไวรัสพร้อมกับยาไรบาไวริน (Ribavirin) หรือไม่ใช้ก็ได้

ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี สามารถเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสโดยตรง และร่วมกับวิธีอื่น ขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัส การรักษาเหล่านี้จะมุ่งหาการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส และป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวน เมื่อรับประทานยาอย่างเหมาะสม อัตราความสำเร็จในการรักษาก็มีสูงมาก

ยาเหล่านี้อาจมีราคาแพง และแพทย์ก็อาจมีหลักเกณฑ์เฉพาะเจาะจงในการรักษา

ไวรัสตับอักเสบดี

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับรักษาโรคไวรัสตับอักเสบดี อ้างอิงจากการศึกษาในปี 2557 พบว่า ยาที่เรียกว่าอัลฟ่าอินเตอร์เฟียรอน (Alpha Interferon) อาจใช้รักษาไวรัสตับอักเสบดีได้ แต่ผู้ป่วยเพียง 25-30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีอาการดีขึ้น

ไวรัสตับอักเสบดีอาจป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากการจะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดีได้ จำเป็นจะต้องติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีก่อน

ไวรัสตับอักเสบอี

ปัจจุบัน ยังไม่ได้มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับไวรัสตับอักเสบอี เนื่องจากการติดเชื้อมักจะรุนแรง และโดยปกติแล้วเชื้อมักจะหายได้เอง ผู้ที่ติดเชื้อประเภทนี้มักจะได้รับคำแนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ รับประทานอาหารที่มีสารอาหารเพียงพอ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อจำเป็นจะต้องได้รับการเฝ้าระวัง และการรักษาอย่างใกล้ชิด

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองที่ช่วยจัดการกับไวรัสตับอักเสบ

การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองดังต่อไปนี้ อาจช่วยให้คุณรับมือ โรคไวรัสตับอักเสบ ได้

สุขอนามัยที่ดี

การมีสุขอนามัยที่ดีเป็นวิธีหลักวิธีหนึ่ง ที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อเฮปพาไตติสเอ และอี หากคุณเดินทางไปประเทศกำลังพัฒนา คุณควรระมัดระวังสิ่งต่อไปนี้

  • น้ำ
  • น้ำแข็ง
  • อาหารทะเลเปลือกแข็ง หรือหอยนางรมดิบ หรือไม่ได้ผ่านการปรุง
  • ผลไม้หรือผักสด

เชื้อเฮปพาไตติสบีซี และดี จะแพร่ผ่านเลือดที่ติดเชื้อ ซึ่งอาจป้องกันได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • ไม่ใช้มีดโกนร่วมกัน
  • ไม่ใช้แปรงสีฟันของผู้อื่น
  • ไม่สัมผัสเลือดที่ปนเปื้อน

เชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี อาจแพร่ผ่านทางเพศสัมพันธ์ หรือกิจกรรมทางเพศที่ใกล้ชิด การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการใช้ถุงยางอนามัย หรือแผ่นยางอนามัยสำหรับปาก อาจช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้

วัคซีน

การใช้วัคซีนเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ การฉีดวัคซีนจะป้องกันการเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเอ หรือบีได้ ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญกำลังพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสตับอักเสบซี ส่วนวัคซีนต้านไวรัสตับอักเสบอีนั้นมีในประเทศจีน

หากมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย จิดาภา ติยะสิริทานนท์ · แก้ไขล่าสุด 15/07/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา