backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

คลีมาสทีน (Clemastine)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

ข้อบ่งใช้

ยาคลีมาสทีนใช้สำหรับ

ยาคลีมาสทีน (Clemastine) ใช้เพื่อบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ ไข้ละอองฟาง (hay fever) และโรคหวัด อาการเหล่านี้มีทั้งผดผื่น น้ำตาไหล อาการคันที่ดวงตา จมูก ลำคอ หรือผิวหนัง อาการไอ น้ำมูกไหล และอาการจาม

ยาคลีมาสทีนทำงานโดยการปิดกั้นสารฮีสตามีน (histamine) ตามธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อมีอาการแพ้ การปิดกั้นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นตามธรรมชาติอีกชนิด อย่างสารอะซิทิลคอลีน (acetylcholine) จะช่วยทำให้น้ำภายในร่างกายแห้ง เพื่อช่วยบรรเทาอาการ เช่น น้ำตาไหล น้ำมูกไหล

ยังไม่มีการวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัย หรือประสิทธิภาพในการใช้ยาแก้ไอและแก้หวัด สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี ดังนั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้รักษาอาการของโรคหวัดในเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี เว้นแต่แพทย์สั่ง

ไม่แนะนำให้ใช้ยาคลีมาสทีนบางรูปแบบ เช่น ยาเม็ด ยาแคปซูลแบบออกฤทธิ์นานกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการใช้ยานี้อย่างปลอดภัย

ยานี้ไม่สามารถรักษาหรือลดระยะเวลาในการเป็นโรคหวัด และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง ควรทำตามวิธีการใช้ยาทั้งหมดอย่างระมัดระวัง

อย่าใช้ยานี้เพื่อทำให้เด็กง่วงนอน อย่าใช้ยาแก้ไอและแก้หวัดที่อาจจะมีส่วนผสมที่ใกล้เคียงกัน (อ่านเพิ่มเติมในส่วนของปฏิกิริยาของยา) โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร ถึงวิธีอื่นในการบรรเทาอาการไอและอาการหวัด เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ ใช้เครื่องทำความชื้น ใช้น้ำเกลือสำหรับหยอดหรือพ่นจมูก

วิธีใช้ยาคลีมาสทีน

หากคุณกำลังใช้ยาที่หาซื้อเอง ควรอ่านวิธีการใช้ยาทั้งหมดบนบรรจุภัณฑ์ก่อนใช้ยา หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ โปรดสอบถามเภสัชกร หากแพทย์สั่งให้คุณใช้ยานี้ ควรใช้ยาตามที่แพทย์กำหนด

รับประทานยาเม็ดหรือยาน้ำพร้อมอาหาร หรือรับประทานแยกกัน ควรทำตามแนวทางการใช้ยาทั้งหมดบนฉลากยา หรือตามที่แพทย์กำหนด อาจรับประทานยาพร้อมกับอาหารหรือนม หากเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน

หากคุณกำลังใช้ยาน้ำ ควรตวงยาตามขนาดที่กำหนดอย่างระมัดระวัง โดยใช้เครื่องตวงยา อย่าใช้ช้อนธรรมดา

ขนาดยาขึ้นอยู่กับอายุ สภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา อย่าเพิ่มขนาดยาหรือใช้ยาบ่อยกว่าที่แพทย์แนะนำหรือตามแนวทางบนฉลากยาโดยที่แพทย์ไม่ยินยอม รับประทานยาเป็นประจำเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้ง่ายต่อการจำ ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน

หากอาการของคุณไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น หรือคุณคาดว่าอาจจะมีปัญหาทางการแพทย์ที่รุนแรง โปรดเข้ารับการรักษาทันที

การเก็บรักษายาคลีมาสทีน

ยาคลีมาสทีนควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาคลีมาสทีนบางยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย

ไม่ควรทิ้งยาคลีมาสทีนลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องเพิ่มเติมได้จากแพทย์และเภสัชกร

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาคลีมาสทีน

ก่อนใช้ยาคลีมาสทีน แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ยานี้ หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีสารปรุงแต่งยา ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ เกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะ

  • ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง
  • ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาบางชนิด เช่น โรคต้อหิน
  • ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
  • ความดันโลหิตสูง
  • โรคตับ
  • อาการชัก
  • ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร เช่น มีแผล อุดตัน
  • ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperthyroidism)
  • ปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะติดขัดเนื่องจากต่อมลูกหมาก ภาวะปัสสาวะคั่ง

ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ง่วงซึม หรือทำให้มองเห็นไม่ชัด อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว หรือการมองเห็นที่ชัดเจน จนกว่าคุณจะสามารถทำกิจกรรมนั้นๆ ได้อย่างปลอดภัย ควรจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาบางชนิดที่อาจทำให้ง่วงซึม (อ่านเพิ่มเติมในส่วนปฏิกิริยาของยา)

เพื่อลดอาการวิงเวียนและอาการบ้านหมุน ควรลุกเปลี่ยนท่าช้าๆ

ของเหลวที่ใช้สำหรับการเตรียมยานี้ อาจจะมีส่วนผสมของน้ำตาล และ/หรือแอลกอฮอล์ หากคุณเป็นโรคเบาหวาน ติดแอลกอฮอล์ (alcohol dependence) หรือโรคตับ ควรระมัดระวังในการใช้ และโปรดสอบถามวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์นี้อย่างปลอดภัยจากแพทย์หรือเภสัชกร

ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะอาการง่วงซึม ท้องผูก ปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ หรือสับสน อาการง่วงซึมและสับสนนั้นอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการหกล้ม

เด็กอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลของยาต้านฮีสตามีน (antihistamines) ได้มากกว่า สำหรับเด็กเล็ก ยานี้อาจจะทำให้เกิดอาการกระวนกระวายหรือตื่นเต้นแทนอาการง่วงซึม

ในช่วงขณะการตั้งครรภ์ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ก่อนใช้ยานี้

ยานี้สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ และอาจเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์กับทารก โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้

ยาคลีมาสทีนจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด B โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A = ไม่มีความเสี่ยง
  • B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C = อาจจะมีความเสี่ยง
  • D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X = ห้ามใช้
  • N = ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยาคลีมาสทีน

อาจเกิดอาการง่วงซึม วิงเวียน ปวดศีรษะ ท้องผูก ท้องไส้ปั่นป่วน มองเห็นไม่ชัด เดินลำบาก ซุ่มซ่าม หรือปากแห้ง จมูกแห้ง คอแห้ง อาการเหล่านี้อาจลดลงเมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับยา หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

เพื่อบรรเทาอาการปากแห้ง ควรอมลูกอมชนิดไม่มีน้ำตาล หรือน้ำแข็ง เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาล ดื่มน้ำ หรือใช้สารทดแทนน้ำลาย ยาคลีมาสทีนสามารถทำให้เสมหะในปอดแห้งลงและหนาขึ้น จนคุณหายใจลำบาก และทำให้ปอดโล่งได้ยากขึ้น เพื่อป้องกันผลข้างเคียงนี้ ควรดื่มน้ำให้มาก เว้นแต่แพทย์สั่งให้ทำอย่างอื่น

โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากประเมินแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ

แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่รุนแรง ได้แก่ มีเสียงอื้อในหู ปัสสาวะติดขัด ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์หรือจิตใจ เช่น มองเห็นภาพหลอน หงุดหงิด ประหม่า สับสน

โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่พบได้ยากแต่รุนแรงมาก ได้แก่ เกิดรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ อาการชัก

อาการแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรง ได้แก่ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด

ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาคลีมาสทีนอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ และอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น

คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยาคลีมาสทีน ได้แก่ ยาต้านฮีสตามีนแบบทาผิวหนัง เช่น ยาไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine) ในรูปแบบครีม ขี้ผึ้ง หรือยาพ่น

โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณกำลังใช้ยาอื่นที่อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม เช่น

  • ยาแก้ปวดหรือยาบรรเทาอาการไอโอปิออยด์ (opioid) เช่น ยาโคเดอีน (codeine) ยาไฮโดรโคโดน (hydrocodone)
  • แอลกอฮอล์ กัญชา
  • ยานอนหลับหรือยารักษาอาการวิตกกังวล เช่น อัลปราโซแลม (alprazolam) ลอราซีแพม (lorazepam) โซลพิเดม (zolpidem)
  • ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น คาริโซโพรดอล (carisoprodol) ไซโคลเบนซาพรีน (cyclobenzaprine)
  • ยาต้านฮีสตามีนอื่นๆ เช่น เซทิริซีน (cetirizine) ไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine)
  • ควรตรวจสอบฉลากของยาทั้งหมด เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้ไอแก้หวัด เนื่องจากอาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้ โปรดสอบถามแพทย์เกี่ยวกับวิธีการใช้ยาเหล่านี้อย่างปลอดภัย

    ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

    ยาคลีมาสทีนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

    ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

    ยาคลีมาสทีนอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

    ขนาดยา

    ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

    ขนาดยาคลีมาสทีนสำหรับผู้ใหญ่

    ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)

    ขนาดยาเริ่มต้น : 1.34 มก. รับประทานวันละสองครั้ง อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นตามความต้องการ แต่ไม่ควรเกิน 2.68 มก. รับประทานวันละสามครั้ง

    ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคลมพิษ

    ขนาดยาเริ่มต้น : 1.34 มก. รับประทานวันละสองครั้ง อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นตามความต้องการ แต่ไม่ควรเกินครั้งละ 2.68 มก. รับประทานวันละสามครั้ง

    ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการแพ้

    ขนาดยาเริ่มต้น : 1.34 มก. รับประทานวันละสองครั้ง อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นตามความต้องการ แต่ไม่ควรเกินครั้งละ 2.68 มก. รับประทานวันละสามครั้ง

    การปรับขนาดยา

    ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจตอบสนองได้ดีต่อการใช้ยาครั้งเดียว (ยาคลีมาสทีน 2.68 มก.) ซึ่งอาจจำเป็นต้องให้ซ้ำ แต่ไม่ควรเกินวันละ 3 เม็ด

    ขนาดยาคลีมาสทีนสำหรับเด็ก

    ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาอาการแพ้

    อายุน้อยกว่า 6 ปี : 0.335 ถึง 0.67 มก./วัน แบ่งรับประทาน 2 หรือ 3 ครั้ง ขนาดยาสูงสุดคือ 1.34 มก. ต่อวัน

    อายุ 6 ถึง 12 ปี : 0.67 ถึง 1.34 มก. รับประทานวันละสองครั้ง ขนาดยาสูงสุดคือ 4.02 มก. ต่อวัน

    อายุมากกว่า 12 ปี : ขนาดยาเริ่มต้น คือ 1.34 มก. รับประทานวันละสองครั้ง อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นตามความต้องการ แต่ไม่ควรเกินครั้งละ 2.68 มก. รับประทานวันละสามครั้ง

    ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

    อายุน้อยกว่า 6 ปี : 0.335 ถึง 0.67 มก./วัน แบ่งรับประทาน 2 หรือ 3 ครั้ง ขนาดยาสูงสุดคือ 1.34 มก. ต่อวัน

    อายุ 6 ถึง 12 ปี : 0.67 ถึง 1.34 มก. รับประทานวันละสองครั้ง ขนาดยาสูงสุดคือ 4.02 มก. ต่อวัน

    อายุมากกว่า 12 ปี : ขนาดยาเริ่มต้น คือ  1.34 มก. รับประทานวันละสองครั้ง อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นตามความต้องการ แต่ไม่ควรเกินครั้งละ 2.68 มก. รับประทานวันละสามครั้ง

    ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคลมพิษ

    อายุน้อยกว่า 6 ปี : 0.335 ถึง 0.67 มก./วัน แบ่งรับประทาน 2 หรือ 3 ครั้ง ขนาดยาสูงสุดคือ 1.34 มก. ต่อวัน

    อายุ 6 ถึง 12 ปี : 0.67 ถึง 1.34 มก. รับประทานวันละสองครั้ง ขนาดยาสูงสุดคือ 4.02 มก.ต่อวัน

    อายุมากกว่า 12 ปี : ขนาดยาเริ่มต้น คือ 1.34 มก. รับประทานวันละสองครั้ง อาจเพิ่มขนาดยาขึ้นตามความต้องการ แต่ไม่ควรเกินครั้งละ 2.68 มก. รับประทานวันละสามครั้ง

    ยังไม่มีการพิสูจน์ความความปลอดภัยและประสิทธิภาพของขนาดยานี้สำหรับผู้ป่วยเด็ก ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจกับความปลอดภัยของยาก่อนการใช้ยา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อกับแพทย์หรือเภสัชกร

    รูปแบบของยา

    ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้

    • ยาเม็ด

    กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

    หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

    กรณีลืมใช้ยา

    หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ

    ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


    เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา