backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ไดจอกซิน (Digoxin)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

ไดจอกซิน (Digoxin)

ข้อบ่งใช้

ยา ไดจอกซิน ใช้สำหรับ

ยา ไดจอกซิน (Digoxin) ใช้เพื่อรักษาโรคหัวใจวาย โดยปกติมักจะใช้ร่วมกับยาอื่น ยานี้ยังใช้เพื่อรักษาความผิดปกติของการเต้นของหัวใจบางชนิด อย่างภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วเรื้อรัง (chronic atrial fibrillation) การรักษาโรคหัวใจวายนั้นอาจช่วยทำให้คุณยังสามารถเดินและออกกำลังกายได้อยู่ และยังอาจช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจคุณอีกด้วย นอกจากนี้ การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกตินี้สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งเป็นผลที่อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน หรือโรคหลอดเลือดสมองได้

ยาไดจอกซินอยู่ในกลุ่มคาร์ดิแอกไกลโคไซด์ (cardiac glycosides) ทำงานโดยการส่งผลกระทบต่อโซเดียมและโพแทสเซียม ภายในเซลล์หัวใจ ทำให้ลดความตึงเครียดของหัวใจ และช่วยรักษาระดับอัตราหัวใจเต้นที่ปกติ เสถียร และแข็งแรง

วิธีการใช้ยา ไดจอกซิน

  • รับประทานยาไดจอกซินพร้อมกับอาหาร หรือรับประทานแยกต่างหาก ตามปกติคือ วันละครั้งหรือตามที่แพทย์กำหนด หากคุณใช้ยาน้ำ ควรตวงขนาดยาให้ดี ด้วยอุปกรณ์ตวงยาที่แถมมาจากผู้ผลิต อย่าใช้ช้อนธรรมดาเพราะอาจได้ขนาดยาที่ไม่ถูกต้อง
  • ร่างกายของคุณอาจไม่สามารถดูดซึมยาได้ดีนัก หากคุณรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง หรือหากคุณใช้ยาบางชนิดร่วมด้วย ดังนั้น จึงควรรับประทานยาไดจอกซินอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังจากรับประทานอาการที่มีใยอาหารสูง (เช่น รำข้าว)
  • หากคุณกำลังใช้ยาอื่น เช่น คอเลสไทรามีน (cholestyramine) คอเลสติพอล (colestipol) หรือซิลเลียม (psyllium) ควรรออย่างน้อย 2 ชั่วโมง หลังจากรับประทานยาไดจอกซิน แล้วจึงค่อยใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้
  • หากคุณกำลังใช้ยาลดกรด เกาลิน-เพคติน (kaolin-pectin) มิลค์ออฟแมกนีเซีย (milk of magnesia) เมโทโคลพราไมด์ (metoclopramide) ซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine) หรือกรดอะมิโนซาลิไซลิก (aminosalicylic acid) ควรใช้ยาเหล่านี้ให้ห่างจากการใช้ยาไดจอกซินให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โปรดสอบถามเภสัชกรหากคุณไม่แน่ใจว่าควรจะใช้ยาเหล่านี้เมื่อไหร่
  • ขนาดยาขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของคุณ อายุ น้ำหนักตัว ผลการตรวจในห้องแล็บ และการตอบสนองต่อการรักษา
  • ใช้ยาไดจอกซินเป็นประจำเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้ง่ายต่อการจำ ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน อย่าหยุดใช้ยาไดจอกซินโดยไม่ปรึกษาแพทย์ สภาวะบางอย่างอาจจะรุนแรงขึ้น หากหยุดใช้ยาไดจอกซินกะทันหัน
  • แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง

การเก็บรักษายา ไดจอกซิน

ยาไดจอกซินควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาไดจอกซินบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ไม่ควรทิ้งยาไดจอกซินลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา ไดจอกซิน

ก่อนใช้ ยาไดจอกซิน

  • แจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ยาไดจอกซินหรือยาอื่นๆ
  • แจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาตามใบสั่งและยาที่หาซื้อเองที่คุณกำลังใช้อยู่ โดยเฉพาะยาลดกรด แคลเซียม คอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคหัวใจอื่นๆ ยารักษาโรคไทรอยด์ และวิตามินต่างๆ
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณเคยมีหรือกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับไทรอยด์ หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคมะเร็ง หรือโรคไต
  • แจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณตั้งครรภ์ มีแผนที่จะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร หากคุณตั้งครรภ์ขณะที่กำลังใช้ยาไดจอกซินโปรดติดต่อแพทย์ทันที
  • ปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงและประโยชน์ในการใช้ยานี้ หากคุณมีอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุมักจะควรใช้ยาไดจอกซินที่ขนาดต่ำ เนื่องจากขนาดยาที่สูงกว่านั้น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้
  • หากคุณกำลังจะรับการผ่าตัด รวมถึงการผ่าตัดทำฟัน โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบว่าคุณกำลังใช้ยาไดจอกซิน
  • คุณควรทราบว่ายานี้อาาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม อย่าขับรถหรือใช้เครื่องจักร จนกว่าคุณจะทราบว่ายานี้ส่งผลต่อคุณอย่างไร
  • โปรดจำไว้ว่าการดื่มสุราสามารถเพิ่มอาการง่วงซึมที่เกิดจากยานี้ได้

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาถึงประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้

ยาไดจอกซินจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ ประเภท C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A= ไม่มีความเสี่ยง
  • B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C= อาจจะมีความเสี่ยง
  • D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X= ห้ามใช้
  • N= ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยา ไดจอกซิน

รับการรักษาในทันทีหากเกิดสัญญาณของอาการแพ้ ได้แก่ ลมพิษ หายใจติดขัด มีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ

โปรดติดต่อแพทย์ในทันที หากคุณมีผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้

  • หัวใจเต้นเร็ว ช้า หรือไม่เท่ากัน
  • อุจจาระสีเลือด สีดำ หรือคล้ายยางมะตอย
  • มองเห็นไม่ชัด มองเห็นภาพเป็นสีเหลือง
  • สับสน มองเห็นภาพหลอน มีความผิดหรือพฤติกรรมที่ไม่ปกติ

ผลข้างเคียงที่รุนแรงน้อยกว่าอาจมีดังต่อไปนี้ ได้แก่

  • คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง เบื่ออาหาร
  • รู้สึกอ่อนแรงหรือวิงเวียน
  • ปวดหัว วิตกกังวล ซึมเศร้า
  • เต้านมโตในผู้ชาย
  • ผดผื่นผิวหนังในระดับเบา

ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาไดจอกซินอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

ไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้กับยาดังต่อไปนี้ แพทย์อาจจะตัดสินใจไม่ใช้ยาในกลุ่มนี้เพื่อรักษาคุณ หรือเปลี่ยนยาบางตัวที่คุณกำลังใช้อยู่

โดยปกติแล้วไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้กับยาดังต่อไปนี้ แต่อาจจำเป็นในบางกรณี หากคุณได้รับใบสั่งยาทั้งคู่ร่วมกัน แพทย์อาจจะต้องเปลี่ยนขนาดยาหรือความถี่ในการใช้ยาตัวหนึ่งหรือทั้งคู่

  • อัลปราโซแลม (Alprazolam) อะมิโอดาโรน (Amiodarone) เบเมทิไซด์ (Bemetizide) เบนโดรฟลูเมไทอาไซด์ (Bendroflumethiazide) เบนไทอาไซด์ (Benzthiazide) โบเซพรีเวียร์ (Boceprevir) บูไทอาไซด์ (Buthiazide)
  • แคลเซียม (Calcium) คานากลิโฟลซิน (Canagliflozin) ชานซู (Chan Su) คลอโรไทอาไซด์ (Chlorothiazide) คลอธาลิโดน (Chlorthalidone) คลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin) คลอพาไมด์ (Clopamide) โคบิซิสแตต (Cobicistat) โคนิวาบแทน (Conivaptan) คริโซทินิบ (Crizotinib) ไซโคลเพนไทอาไซด์ (Cyclopenthiazide) ไซโคลไทอาไซด์ (Cyclothiazide)
  • ดาคลาทาสเวียร์ (Daclatasvir) เดเมโคลไซคลีน (Demeclocycline) ไดเฟนอกซีเลต (Diphenoxylate) โดเฟทิลไลด์ (Dofetilide) โดพามีน (Dopamine) ดอกซีไซคลีน (Doxycycline) โดรเนดาโรน (Dronedarone)
  • เอลิกลูสแตต (Eliglustat) เอพิเนฟรีน (Epinephrine) อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) อีโซกาบีน (Ezogabine) ฟิงโกลิมอด (Fingolimod) ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (Hydrochlorothiazide) ไฮโดรฟลูเมไทอาไซด์ (Hydroflumethiazide) อินดาพาไมด์ (Indapamide) อินโดเมทาซิน (Indomethacin) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) คิวชิน (Kyushin) ลาพาทินิบ (Lapatinib) เลดิพาสเวียร์ (Ledipasvir) ลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ (Lily of the Valley) โลมิทาไพด์ (Lomitapide)
  • เมทีโคลไทอาไซด์ (Methyclothiazide) เมโทลาโซน (Metolazone) มิเฟพริสโตน (Mifepristone) ไมโนไซคลีน (Minocycline) โมริซิซีน (Moricizine) นิโลตินิบ (Nilotinib) นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) โอลีนดาร์ (Oleander) ออกซิเตตราไซคลีน (Oxytetracycline) เฟเซนต์อาย (Pheasant’s Eye) โพลีไทอาไซด์ (Polythiazide) โพรพาเฟโนน (Propafenone) โพรแพนเทลีน (Propantheline) เควียเซทิน (Quercetin) ควีเนทาโซน (Quinethazone) ควินิดีน (Quinidine) ริโทนาเวียร์ (Ritonavir)
  • ซาควินาเวียร์ (Saquinavir) ซิเมพรีเวียร์ (Simeprevir) สไปโรโนแลคโทน (Spironolactone) สควิล (Squill) สมุนไพรเซนต์จอห์น (St John’s Wort) ซักซินิลโคลีน (Succinylcholine) เทลาพรีเวียร์ (Telaprevir) เททราไซคลีน (Tetracycline) โทโคเฟอร์โซแลน (Tocophersolan) ไตรคลอร์เมไทอาไซด์ (Trichlormethiazide) ยูลิพริสตอล (Ulipristal) เวนเดทานิบ (Vandetanib) เวราพามิล (Verapamil) ซิพาไมด์ (Xipamide)

การใช้ยานี้ร่วมกับยาดังต่อไปนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงบางอย่าง แต่การใช้ยาทั้งสองร่วมกันอาจเป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคุณที่สุด หากคุณได้รับใบสั่งยาทั้งคู่ร่วมกัน แพทย์อาจจะต้องเปลี่ยนขนาดยาหรือความถี่ในการใช้ยาตัวหนึ่งหรือทั้งคู่

  • อะคาร์โบส (Acarbose) อะเซบูโทลอล (Acebutolol) อัลพรีโนลอล (Alprenolol) อะลูมิเนียม คาร์บอเนต เบสิค (Aluminum Carbonate Basic) อะลูมิเนียม ไฮดรอกไซด์ (Aluminum Hydroxide) อะลูมิเนียม ฟอสเฟต (Aluminum Phosphate) กรดอะมิโนซาไลซิลิก (Aminosalicylic Acid) อาร์บูตามีน (Arbutamine) อะเทโนลอล (Atenolol) อะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin) อะซิโทรมัยซิน (Azithromycin) อะโซเซไมด์ (Azosemide)
  • เบพริดิล (Bepridil) เบตาโซลอล (Betaxolol) เบวานโทลอล (Bevantolol) บิโซโพรลอล (Bisoprolol) บูซินโดลอล (Bucindolol) แคนเพโนเอต (Canrenoate) แคปโทพริล (Captopril) คาร์เทโอลอล (Carteolol) คาร์เวดิลอล (Carvedilol) คาสคารา ซากราดา (Cascara Sagrada) เซลิโพรลอล (Celiprolol) โคลเลสไทรามีน (Cholestyramine) คอลชิซีน (Colchicine) โคเลสทิพอล (Colestipol) ไซโคลสปอรีน (Cyclosporine)
  • ดารุนาเวียร์ (Darunavir) ไดไฮดรอกซีอะลูมิเนียม อะมิโนแอซิเตต (Dihydroxyaluminum Aminoacetate) ไดไฮดรอกซีอะลูมิเนียม โซเดียมคาร์บอเนต (Dihydroxyaluminum Sodium Carbonate) ดิเลวาลอล (Dilevalol) ดิลไทอะแซม (Diltiazem) ดิโซพิราไมด์ (Disopyramide)
  • อีโพพรอสเทนอล (Epoprostenol) เอสโมลอล (Esmolol) อีทราวิรีน (Etravirine) อีเซนาไทด์ (Exenatide) ฟลีเคไนด์ (Flecainide) ฟลูโอเซทีน (Fluoxetine) ฟูโรเซไมด์ (Furosemide) กาติฟลอกซาซิน (Gatifloxacin) ไฮดรอกซีคลอโรควีน (Hydroxychloroquine) อินเดคาอิไนด์ (Indecainide) ลาเบทาลอล (Labetalol) เลนาลิโดไมด์ (Lenalidomide) ลอร์นอกซิแคม (Lornoxicam)
  • มากาลเดรต (Magaldrate) แมกนีเซียมคาร์บอเนต (Magnesium Carbonate) แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Magnesium Hydroxide) แมกนีเซียมออกไซด์ (Magnesium Oxide) แมกนีเซียมไตรซิลิเคต (Magnesium Trisilicate) เมพินโดลอล (Mepindolol) เมทิพราโนลอล (Metipranolol) เมโทคลอพราไมด์ (Metoclopramide) เมโทโพรลอล (Metoprolol) มิเบฟราดิล (Mibefradil) มิกลิทอล (Miglitol) มิราเบกรอน (Mirabegron)
  • นาโดลอล (Nadolol) เนบิโวลอล (Nebivolol) เนฟาโซโดน (Nefazodone) นีโอมัยซิน (Neomycin) นิลวาดิพีน (Nilvadipine) นิโซลดิพีน (Nisoldipine) นิเทรนดิพีน (Nitrendipine)
  • โอเมพราโซล (Omeprazole) ออกพรีโนลอล (Oxprenolol) แพนคูโรเนียม (Pancuronium) พาโรโมมัยซิน (Paromomycin) เพนบูโทลอล (Penbutolol) พินโดลอล (Pindolol) พิเรทาไนด์ (Piretanide) โพซาโคนาโซล (Posaconazole) โพรพราโนลอล (Propranolol) ควินีน (Quinine) ราเบพราโซล (Rabeprazole) ราโนลอซีน (Ranolazine) ไรแฟมพิน (Rifampin) ไรฟาเพนทีน (Rifapentine) โรซิโทรมัยซิน (Roxithromycin)
  • ซิมวาสแตติน (Simvastatin) โซทาลอล (Sotalol) ซูคราลเฟต (Sucralfate) ซัลฟาซาลาซีน (Sulfasalazine) ทาลิโนลอล (Talinolol) เทลิโทรมัยซิน (Telithromycin) เทลมิซาร์แทน (Telmisartan) เทอร์ทาโทลอล (Tertatolol) ไทคาเกรลอร์ (Ticagrelor) ทิโมลอล (Timolol) ทอร์เซไมด์ (Torsemide) ทรามาดอล (Tramadol) ทราโซโดน (Trazodone) ไตรเมโทพริม (Trimethoprim) วาลสโปดาร์ (Valspodar)

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาไดจอกซินอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยาไดจอกซินอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

ปัญหาทางการแพทย์อื่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ยานี้ได้ โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณมีปัญหาทางการแพทย์อื่นๆ โดยเฉพาะ

  • โรคหลอดเลือด เช่น บริเวณ arteriovenous shunt
  • ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia)
  • ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ (Hypoxia)
  • โรคไทรอยด์ (Thyroid disease) — ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ผู้ป่วยที่ที่มีสภาวะนี้อาจมีปฏิกิริยาไวน้อยกว่าหรือดื้อต่อผลของยาไดจอกซิน
  • การช็อคหัวใจด้วยไฟฟ้า (Electrical cardioversion) — อาจควรลดขนาดยาไดจอกซิน ลงมา 1 ถึง 2 วัน ก่อนทำการช็อคหัวใจด้วยไฟฟ้า เพื่อรักษาภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาการแย่ลง
  • โรคหัวใจ เช่น โรค amyloid heart disease โรคสัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวาง (AV block) ภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและหดตัว (constrictive pericarditis) ภาวะคอร์พูลโมเนล (cor pulmonale) โรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน (heart attack) โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (hypertrophic cardiomyopathy) โรคกล้ามเนื้อหัวใจชนิดกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัวมากกว่าปกติ (restrictive cardiomyopathy) กลุ่มอาการซิคไซนัส (sick sinus syndrome) หรือกลุ่มอาการวอลฟ์ พาร์กินสัน ไวท์ (Wolff-Parkinson-White syndrome) — ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือใช้ด้วยความระมัดระวัง อาจทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น
  • ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia)
  • ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia)
  • ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ (Hypomagnesemia) — เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นพิษของยาไดจอกซิน
  • โรคไต —ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ผลของยาอาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากกำจัดยาออกจากร่างกายได้ช้าลง
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis)
  • ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัว (Ventricular fibrillation) — ผู้ป่วยโรคนี้ไม่ควรใช้ยานี้

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาไดจอกซินสำหรับผู้ใหญ่

1.ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคหัวใจวาย (Congestive Heart Failure)

การให้ยาในขนาดเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว

  • ปริมาณยาไดจอกซินที่เก็บไว้ภายในร่างกายสูงสุดที่ 8 ถึง 12 ไมโครกรัม/กก. มักจะให้ผลการรักษาโดยมีความเสี่ยงในการเป็นพิษต่ำสุดสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคหัวใจวายและมีจังหวะไซนัส (sinus rhythm) ปกติ
  • ขนาดยาเริ่มต้นควรแบ่งให้หลายๆครั้ง โดยให้ยาประมาณครึ่งหนึ่งในครั้งแรก แล้วค่อยให้ยาส่วนที่เหลือเพิ่มโดยเว้นช่วง 6 ถึง 8 ชั่วโมง ควรประเมินการตอบสนองทางการแพทย์ของผู้ป่วยให้ดีก่อนให้ยาแต่ละครั้ง หากการตอบสนองของผู้ป่วยนั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนจากขนาดยาเริ่มต้นที่คำนวณไว้ ขนาดยาปกติที่คำนวณไว้ก็ควรที่จะขึ้นอยู่กับขนาดยาที่ให้ไปจริงๆ

ยาเม็ด

  • ขนาดยาเริ่มต้น: 500 ถึง 750 ไมโครกรัม มักจะให้ผลที่ตรวจจับได้ภายใน 0.5 ถึง 2 ชั่วโมง โดยแสดงผลสูงสุดภายใน 2 ถึง 6 ชั่วโมง อาจให้ยาเพิ่มเติมที่ขนาด 125 ถึง 375 ไมโครกรัม โดยเว้นช่วง 6 ถึง 8 ชั่วโมง จนกระทั่งสามารถระบุหลักฐานทางการแพทย์ของผลที่เหมาะสม ขนาดยาปกติของผู้ป่วยที่มีน้ำหนัก 70 กก. ต้องการใช้เพื่อให้มีปริมาณยาไดจอกซินที่เก็บไว้ภายในร่างกายสูงสุดที่ 8 ถึง 12 ไมโครกรัม/กก. คือ 750 ถึง 1250 ไมโครกรัม

ยาแคปซูล

  • ขนาดยาเริ่มต้น: ยาแคปซูลยาไดจอกซิน 400 ถึง 600 ไมโครกรัม มักจะให้ผลที่ตรวจจับได้ภายใน 0.5 ถึง 2 ชั่วโมง โดยแสดงผลสูงสุดภายใน 2 ถึง 6 ชั่วโมง อาจให้ยาเพิ่มเติมที่ขนาด 100 ถึง 300 ไมโครกรัม โดยให้อย่างระมัดระวังและเว้นช่วง 6 ถึง 8 ชั่วโมง จนกระทั่งสามารถระบุหลักฐานทางการแพทย์ของผลที่เหมาะสม ขนาดยาปกติของผู้ป่วยที่มีน้ำหนัก 70 กก. ต้องการใช้เพื่อให้มีปริมาณยาไดจอกซินที่เก็บไว้ภายในร่างกายสูงสุดที่ 8 ถึง 12 ไมโครกรัม/กก. คือ 600 ถึง 1000 ไมโครกรัม

ยาฉีด

  • ขนาดยาเริ่มต้น: ฉีดยาไดจอกซิน 400 ถึง 600 ไมโครกรัม มักจะให้ผลภายใน 5 ถึง 30 นาที โดยมีประสิทธิภาพสูงสุดภายใน 1 ถึง 4 ชั่วโมง อาจให้ยาเพิ่มเติมที่ขนาด 100 ถึง 300 ไมโครกรัม โดยให้อย่างระมัดระวังและเว้นช่วง 6 ถึง 8 ชั่วโมง จนกระทั่งสามารถระบุหลักฐานทางการแพทย์ของผลที่เหมาะสม ขนาดยาปกติของผู้ป่วยที่มีน้ำหนัก 70 กก. ต้องการใช้เพื่อให้มีปริมาณยาไดจอกซินที่เก็บไว้ภายในร่างกายสูงสุดที่ 8 ถึง 12 ไมโครกรัม/กก. คือ 600 ถึง 1000 ไมโครกรัม วิธีการฉีดยานั้นมักจะใช้เพื่อให้ให้ยาอย่างรวดเร็ว โดยเปลี่ยนกลับมาใช้ยาเม็ดหรือยาแคปซูลยาไดจอกซินเพื่อรักษาตามปกติ

ขนาดยาปกติ

  • ขนาดยาไดจอกซินที่เคยมีการใช้ในการทดลองแบบควบคุม ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวในนั้นคือตั้งแต่ 125 ถึง 500 ไมโครกรัม วันละครั้ง ในการวิจัยเหล่ามักจะปรับขนาดยาไดจอกซินตามอายุของผู้ป่วย น้ำหนักตัวที่ปราศจากไขมัน และการทำงานของไต มักจะเริ่มต้นการรักษาที่ขนาด 250 ไมโครกรัมวันละครั้งสำหรับผู้ป่วยที่อายุต่ำกว่า 70 ปีและมีการทำงานของไตที่ดี

2.ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation)

  • ปริมาณยาไดจอกซินสะสมในร่างกายสูงสุดในช่วง 8 ถึง 12 ไมโครกรัม/กก. ที่จำเป็นต่อผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคหัวใจวายและมีจังหวะไซนัสปกติเคยมีการใช้เพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ขนาดยาไดจอกซินสำหรับการรักษาภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วเรื้อรังควรปรับลงมาที่ขนาดยาต่ำสุดเพื่อให้ได้อัตราการเต้นของหัวใจที่ต้องการโดยไม่ทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์

ขนาดยาไดจอกซินสำหรับเด็ก

1.ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation)

  • อย่าให้ยาไดจอกซินทั้งหมดภายในคราวเดียว ควรแบ่งให้ยาหลายๆ ครั้ง โดยให้ยาประมาณครึ่งหนึ่งในครั้งแรก แล้วค่อยให้ส่วนที่เหลือหลังจากนั้นโดยเว้นช่วง 6 ถึง 8 ชั่วโมง (ยารับประทาน) หรือ 4 ถึง 8 ชั่วโมง (ยาฉีด) แนะนำการแบ่งให้ยาทุกวันสำหรับเด็กทารกและเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 10 ปี
  • การฉีดยานั้นควรใช้ก็ต่อเมื่อต้องการให้ยาอย่างรวดเร็วหรือไม่สามารถรับประทานยาได้เท่านั้น แนะนำการฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำแทนการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการปวดที่รุนแรงในบริเวณที่ฉีดยา จากจำเป็นต้องฉีดยาเข้าทางกล้ามเนื้อ ควรฉีดยาลึกเข้าในกล้ามเนื้อแล้วนวดตาม ไม่ควรฉีดยาเกิด 500 มก. ไว้ภายในที่เดียว
  • ขนาดที่ที่คำนวณไว้ควรขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวที่ปราศจากไขมัน

2. ทารกที่คลอดก่อนกำหนด

  • ขนาดเริ่มต้น: ยาอีลิกเซอร์แบบรับประทาน (elixir): 20 ถึง 30 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ: 15 ถึง 25 ไมโครกรัม/กก.
  • ขนาดยาปกติ: รับประทาน 5 ถึง 7.5 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 4 ถึง 6 ไมโครกรัม/กก.

3. ทารกครบกำหนดคลอด

  • ขนาดยาเริ่มต้น: ยาอีลิกเซอร์แบบรับประทาน: 25 ถึง 35 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ: 20 ถึง 30 ไมโครกรัม/กก.
  • ขนาดยาปกติ: รับประทาน 6 ถึง 10 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 5 ถึง 8 ไมโครกรัม/กก.

4. อายุ 1-24 เดือน

  • ขนาดยาเริ่มต้น: รับประทาน 35 ถึง 60 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 30 ถึง 50 ไมโครกรัม/กก.
  • ขนาดยาปกติ: รับประทาน 10 ถึง 15 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 7.5 ถึง 12 ไมโครกรัม/กก.

5. อายุ 3 ถึง 5 ปี

  • ขนาดยาเริ่มต้น: รับประทาน 30 ถึง 40 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 25 ถึง 35 ไมโครกรัม/กก.
  • ขนาดยาปกติ: รับประทาน 7.5 ถึง 10 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 6 ถึง 9 ไมโครกรัม/กก.

6. อายุ 6 ถึง 10 ปี

  • ขนาดยาเริ่มต้น: รับประทาน 20 ถึง 35 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 15 ถึง 30 ไมโครกรัม/กก.
  • ขนาดยาปกติ: รับประทาน 5 ถึง 10 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 4 ถึง 8 ไมโครกรัม/กก.

7. อายุ 11 ปีขึ้นไป

  • ขนาดยาเริ่มต้น: รับประทาน 10 ถึง 15 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 8 ถึง 12ไมโครกรัม/กก.
  • ขนาดยาปกติ: รับประทาน 2.5 ถึง 5 ไมโครกรัม/กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 2 ถึง 3 ไมโครกรัม/กก.

รูปแบบของยา

ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้

สารละลายสำหรับฉีด

  • ลาน็อกซิน (Lanoxin): 0.25 มก./มล. (2 มล.)
  • ลาน็อกซินสำหรับเด็ก: 0.1 มก./มล. (1 mL)
  • ทั่วไป: 0.25 มก./มล. (1 มล. 2 มล.)

สารละลายสำหรับรับประทาน

  • ทั่วไป: 0.05 มก./มล (60 มล.)

ยาเม็ดสำหรับรับประทาน

  • ไดจอกซ์: 0.125 มก.
  • ไดจอกซ์: 0.25 มก.
  • ลาน็อกซิน: 0.125 มก.
  • ลาน็อกซิน: 0.25 มก.
  • ทั่วไป: 0.125 มก. 0.25 มก.

กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์

ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา