backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ไรแฟมพินและไอโซไนอาซิด (Rifampin-Isoniazid)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 03/08/2020

ไรแฟมพินและไอโซไนอาซิด (Rifampin-Isoniazid)

ไรแฟมพินและไอโซไนอาซิด (Rifampin-Isoniazid) ใช้เพื่อรักษาวัณโรค ยานี้ประกอบด้วยยาสองชนิดคือ ยาไรแฟมพินและยาไอโซไนอาซิด ยาทั้งสองนี้เป็นยาปฏิชีวนะ ยาไรแฟมพินเป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มไรฟามัยซิน (Rifamycin) ยานี้ทำงานโดยการหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อบ่งใช้

ไรแฟมพินและไอโซไนอาซิด ใช้สำหรับ

ไรแฟมพินและไอโซไนอาซิด (Rifampin-Isoniazid) ใช้เพื่อรักษาวัณโรค ยานี้ประกอบด้วยยาสองชนิดคือ ยาไรแฟมพินและยาไอโซไนอาซิด ยาทั้งสองนี้เป็นยาปฏิชีวนะ ยาไรแฟมพินเป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มไรฟามัยซิน (Rifamycin) ยานี้ทำงานโดยการหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย

ยาปฏิชีวนะนี้ใช้เพื่อรักษาและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่ได้ผลกับการติดเชื้อไวรัส (เช่น โรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่) การใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นหรือใช้อย่างไม่ถูกต้อง อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงได้

วิธีการใช้ยา ไรแฟมพินและไอโซไนอาซิด

รับประทานยา 1 ชั่วโมงก่อน หรือ 2 ชั่วโมงหลังจากมื้ออาหาร โดยปกติคือวันละครั้งหรือตามที่แพทย์กำหนด

หากคุณใช้ยาลดกรด ควรรับประทานยานี้อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนยาลดกรด

ขนาดยาขึ้นอยู่กับอายุ น้ำหนัก สภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา

เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด ควรใช้ยาปฏิชีวนะโดยเว้นระยะเวลาให้เท่ากัน เพื่อให้ง่ายต่อการจำ ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน

ใช้ยานี้ (และยารักษาวัณโรคอื่นๆ) อย่างต่อเนื่องจนครบกำหนด แม้ว่าอาการจะหายไปแล้ว การหยุดใช้ยาเร็วเกินไป หรือข้ามมื้อยา อาจทำให้เชื้อเติบโตต่อไป และทำให้การติดเชื้อกำเริบและรักษาได้ยากขึ้น (ดื้อยา)

แพทย์อาจจะสั่งให้คุณรับประทานวิตามินบี 6 หรือไพริดอกซีน (pyridoxine) เพื่อช่วยป้องกันผลข้างเคียงบางอย่างของยาไอโซไนอาซิด (เช่น ปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาท) โปรดทำตามแนวทางของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ยาไอโซไนอาซิดอาจมีปฏิกิริยาต่ออาหารที่มีไทรามีน (tyramine) หรือฮีสตามีน (histamine) เช่น ชีส ไวน์แดง หรือปลาบางชนิด ปฏิกิริยานี้อาจเพิ่มระดับความดันโลหิต หน้าแดง ปวดหัว วิงเวียน หรือหัวใจเต้นเร็วหรือรัว แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดอาการดังกล่าว แพทย์อาจให้คุณรับประทานอาหารแบบพิเศษขณะที่กำลังใช้ยานี้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณไม่หายไปหรือแย่ลง

การเก็บรักษายา ไรแฟมพินและไอโซไนอาซิด

ยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิดควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิดบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ไม่ควรทิ้งยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิดลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำเว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิด

ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยาไรแฟมพินหรือยาไอโซไนอาซิด หรือยาในกลุ่มไรฟามาซินอื่นๆ เช่น ไรฟาบูติน (rifabutin) หรือไรฟาเพนทีน (rifapentine) หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีสารไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะเคยมีปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อยาไอโซไนอาซิด (เช่น โรคตับ โรคไต ดื่มสุรา ติดเชื้อเอชไอวี โรคเบาหวาน มีอาการเหน็บชาที่แขนหรือขาหรือปลายประสาทอักเสบ เพิ่งผ่านการคลอดบุตร โรคเลือดบางอย่างเช่นโรคพอร์ฟิเรีย (porphyria)

ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบ เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ)

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคตับ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างใช้ยานี้

ยานี้อาจทำให้วันซีคแบคทีเรียเชื้อเป็น (เช่น วัคซีนไทรอยด์) ทำงานได้ไม่ดี อย่าสร้างภูมิคุ้มกันหรือรับวัคซีนขณะที่ใช้ยานี้ นอกเสียจากแพทย์จะสั่ง

ในช่วงขณะการตั้งครรภ์ ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น หากใช้ยาไรแฟมพินในช่วงไม่กี่สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอด อาจเพิ่มความเสี่ยงในการตกเลือดทั้งแม่และทารก แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณสังเกตเห็นอาการเลือดออกใดๆ ในเด็กทารก โปรดปรึกษาความเสี่ยงและประโยชน์กับแพทย์

ยานี้สามารถส่งผ่านน้ำนมแม่ได้ แต่ไม่ค่อยจะทำอันตรายต่อเด็กทารก โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้

ยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิดจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A= ไม่มีความเสี่ยง
  • B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C= อาจจะมีความเสี่ยง
  • D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X= ห้ามใช้
  • N= ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิด

อาจเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องไส้ปั่นป่วน แสบร้อนกลางอก หรือปวดหัว หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที

ยานี้อาจทำให้ปัสสาวะ เหงื่อ น้ำลาย หรือน้ำตาเปลี่ยนสี (สีเหลือง สีส้ม สีแดง หรือน้ำตาล) ผลนี้ไม่เป็นอันตราย และจะหายไปเมื่อหยุดใช้ยา แต่สีของฟันหรือคอนแทคเลนส์อาจเปลี่ยนสีถาวร

โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากคำนวณแล้วว่า ยามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ

แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นแต่รุนแรงดังต่อไปนี้ ได้แก่ อาการชาตามแขนหรือขา หรืออาการปวดบวมที่บริเวณข้อ

แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่หายากแต่รุนแรงมากดังต่อไปนี้ ได้แก่ สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไต (เช่น ปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง ปัสสาวะเป็นเลือด) กระหายน้ำเพิ่มขึ้นหรือปัสสาวะเพิ่มขึ้น การมองเห็นเปลี่ยนแปลง มีรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจหรืออารมณ์ (เช่น สับสนหรือโรคจิต) ชัก

ในนานๆ ครั้งยานี้อาจทำให้เกิดสภาวะลำไส้ที่รุนแรง เช่น อาการท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับคลอสทริเดียม ดิฟิซายล์ (Clostridium difficile-associated diarrhea) เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยาบางอย่าง สภาวะนี้สามารถเกิดได้ระหว่างการรักษา หรือเป็นสัปดาห์จนถึงเดือนหลังจากหยุดการรักษา ยาใช้ยาแก้ท้องเสียหรือยาแก้ปวดแบบเสพติด หากเกิดอาการดังกล่าวเนื่องจากอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ได้แก่ ท้องร่วงบ่อยครั้ง ปวดท้อง มีเลือดหรือเสมหะในอุจจาระ

การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้คือ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด

ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่ อะเซตามีโนเฟน (acetaminophen) คาร์บาเมเซพีน (carbamazepine) ไดซัลฟิแรม (disulfiram) ยาในกลุ่มเอ็มเอโอไอ (MAO inhibitors) เช่น ไอโซคาร์บอกซาซิด (isocarboxazid) ไลนิโซลิด (linezolid) เมทิลีน บลู (methylene blue) โมโคลเบไมด์ (moclobemide) เฟเนลซีน (phenelzine) โพรคาร์เบซีน (procarbazine) ราซาจิลีน (rasagiline) ซาฟินาไมด์ (safinamide) เซเลจิลีน (selegiline) ทรานิลไซโพรมีน (tranylcypromine) ยาต้านซึมเศร้าในกลุ่มเอสเอสอาร์ไอ (SSRI antidepressants) เช่นฟลูโอเซทีน (fluoxetine) หรือเซอร์ทราลีน (sertraline) กรดวาลโพรอิค (valproic acid)

ยาไรแฟมพินสามารถเพิ่มความเร็วในการกำจัดยาอื่นออกจากร่างกาย และส่งผลกระทบต่อการทำงานของยาเหล่านี้ เช่น ไดจอกซิน (digoxin) นิโมดิพีน (nimodipine) เฟนนีโทอิน (phenytoin) ราโนลาซีน (ranolazine) ทาโครลิมัส (tacrolimus) ทีโอฟิลลีน (theophylline) ยาต้านการติดเชื้อบางชนิด เช่น คลอแรมเฟนิคอล (chloramphenicol) คลาริโทรมัยซิน (clarithromycin) แดพโซน (dapsone) ด็อกซีไซคลิน (doxycycline) ไลนิโซลิด (linezolid) เทลิโทรมัยซิน (telithromycin) ซิโดวูดีน (zidovudine) ควิโนโลน (quinolones) เช่น ไซโปรฟลอกซาซิน (ciprofloxacin) ยาต้านเชื้อรากลุ่มเอโซล (azole antifungals) เช่น ไอทราโคนาโซล (itraconazole) หรือคีโตโคนาโซล (ketoconazole) ยาเจือจางเลือด เช่น วาฟาริน (warfarin) ยาในกลุ่มแคลเซียมชาแนลบล็อกเกอร์ (calcium channel blockers) เช่น ดิลไทอาเซม (diltiazem) หรือเวราพามิล (verapamil) ยาต้านเชื้อเอชไอวีในกลุ่มเอ็นเอ็นอาร์ทีไอ (HIV NNRTIs) เช่น เดลาเวอร์ดีน (delavirdine) เอทราเวอร์ดีน (etravirine) หรือเนวิราพีน (nevirapine) ยาต้านไวรัสเอชไอวี (HIV protease inhibitors) เช่น อะทาซานาเวียร์ (atazanavir) ริโทนาเวียร์ (ritonavir) หรือซาควินาเวียร์ (saquinavir) และอื่นๆ

ยานี้อาจลดประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด หรือห่วงคุมกำเนิด และส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับวิธีการคุมกำเนิดที่น่าเชื่อถือเพิ่มเติม ขณะกำลังใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณสังเกตเห็นอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยหรือเลือดออกมาก เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณว่า การคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนนั้นทำงานได้ไม่ดี

ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการตรวจทางการแพทย์ หรือการตรวจในห้องแล็บบางชนิด (เช่น การตรวจระดับโฟเลตหรือวิตามินบี 12 การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในปัสสาวะ) และอาจทำให้เกิดผลเป็นเท็จได้ ควรแจ้งให้บุคลากรในห้องแล็บและแพทย์ของคุณทุกคนทราบว่า คุณกำลังใช้ยานี้

ยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิดอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิดอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิดอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิดสำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาวัณโรค – มีอาการ

  • ยาแคปซูล 2 เม็ด (ยาไอโซไนอาซิด 300 มก. และ ยาไรแฟมพิน 600 มก.) รับประทานวันละครั้งขณะท้องว่าง ไม่ 1 ชั่วโมงก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังจากมื้ออาหารหรือยาลดกรด

ระยะเวลาในการรักษา

  • อย่างน้อย 4 เดือนหลังจากช่วงการรักษาเริ่มต้น ดำเนินการรักษาต่อไปหากผู้ป่วยยังมีเสมหะหรือยังมีเชื้ออยู่ หากมีเชื้อดื้อยา หรือหากผู้ป่วยมีเชื้อเอชไอวี

การใช้งาน

  • เพื่อรักษาวัณโรคในปอดที่เชื้อมีปฏิกิริยาไวต่อยา และมีการพิสูจน์แล้วว่าขนาดยาที่ปรับนั้นมีประสิทธิภาพในการรักษา

ขนาดยาสำหรับผู้สูงอายุเพื่อรักษาวัณโรค – มีอาการ

  • ควรใช้ยาด้วยความระมัดระวัง

การปรับขนาดยาสำหรับไต

  • ไม่มีการปรับขนาดยาที่แนะนำ แต่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดในผู้ป่วยที่มีไตบกพร่องขั้นรุนแรง

การปรับขนาดยาสำหรับตับ

  • ตับเสียหายระดับรุนแรง โรคไตฉับพลันจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ห้ามใช้ยานี้
  • สมรรถภาพตับบกพร่อง ควรใช้ด้วยความระมัดระวังภายใต้การดูแลทางการแพทย์อย่างเข้มงวด

คำแนะนำ

  • หากใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีสมรรถภาพตับบกพร่อง ควรเฝ้าระวังสมรรถภาพตับอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะค่าเอสจีพีที (SGPT) และค่าเอสจีโอที (SGOT) ก่อนการรักษา แล้วตามด้วยตรวจทุกๆ 2 ถึง 4 สัปดาห์ระหว่างการรักษา หยุดการรักษาหากมีความเสียหายต่อตับ

คำแนะนำอื่นๆ

คำแนะนำการใช้

  • แนะนำการใช้ร่วมกับไพริดอกซีนหรือวิตามินบี6 ในผู้ที่ขาดสารอาหาร ผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคระบบประสาท เช่นผู้ติดสุรา และโรคเบาหวาน และในวัยรุ่น

การเก็บรักษา

  • เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส /77 องศาฟาเรนไฮต์ อนุญาตในช่วงการเดินทางที่อุณหภูมิ 15 ถึง 30 องศาเซลเซียส /59 ถึง 86 องศาฟาเรนไฮต์
  • เก็บให้พ้นจากความชื้นที่มากเกินไป

ทั่วไป

  • ไม่แนะนำขนาดยาร่วมกันที่คงที่ของยานี้ (ยาไอโซไนอาซิด 150 มก. และยาไรแฟมพิน 300 มก. ต่อแคปซูล) สำหรับการเริ่มต้นในการรักษาวัณโรคหรือการรักษาเพื่อการป้องกัน
  • ยานี้ไม่ได้ใช้สำหรับการรักษาการติดเชื้อเมนิงโกค็อกคัส (meningococcal infections) หรือ พาหะของโรคไนซีเรีย เมนิงไจไทดิส (Neisseria meningitis) เพื่อกำจัดเชื้อเมนิงโกค็อกคัสออกจากโพรงหลังจมูก

การเฝ้าระวัง

  • ผิวหนัง ปฏิกิริยาของผิวหนัง เช่นสัญญาณหรืออาการของผดผื่นผิวหนังที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่มักมีแผลพุพองหรือแผลที่เยื่อเมือก

ทั่วไป

  • ควรวัดระดับของเซรั่มครีอะตินีน (serum creatinine) ตรวจนับปริมาณเม็ดเลือด (complete blood count) ปริมาณเกล็ดเลือด (platelet count) และกรดยูริคในเลือด (blood uric acid)
  • ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับเรื้อรัง ไตบกพร่องระดับรุนแรง มีการเปลี่ยนแปลงหมู่อซิติลที่ช้ากว่าปกติ (slow acetylator status) โรคลมชัก (epilepsy) เคยเป็นโรคจิต (psychosis) เคยเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ (peripheral neuropathy) โรคเบาหวาน ภาวะพึ่งพาแอลกอฮอล์ (alcohol dependence) ติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคพอร์ฟิเรีย (porphyria)
  • ควรมีการประเมินผู้ป่วยทุกเดือนระหว่างการรักษา และควรถามผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์
  • ควรติดตามผลในผู้ป่วยที่รายที่มีความผิดปกติ รวมถึงการตรวจในห้องทดลองหากจำเป็น
  • ตับ: ควรตรวจสมรรถภาพของตับพื้นฐาน เช่นเอนไซม์ตับ หรือบิลิรูบิน (bilirubin)
  • ดวงตา: ตรวจดวงตา รวมถึงการส่องตรวจในดวงตา (ophthalmoscopy) (ก่อนเริ่มต้นการรักษาและหลังจากการนั้นเป็นระยะ)
  • อื่นๆ: การเก็บสิ่งส่งตรวจ (Collect specimens) การป้ายหรือการเพาะเชื้อแบคทีเรีย (bacteriologic smears or cultures) เพื่อตรวจหาเชื้อและเพื่อยืนยันเชื้อที่มีปฏิกิริยาไวต่อยาไรแฟมพิน (rifampin) และยาไอโซไนอาซิดก่อนเริ่มต้นการรักษา ทำซ้ำตลอดช่วงการรักษา

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

ยานี้อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน (vertigo) การมองเห็นมีปัญหา และอาจมีอาการทางจิต ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจเป็นอันตราย เช่นขับรถและใช้เครื่องจักรจนกว่าคุณจะทราบว่ายานี้ส่งผลต่อคุณอย่างไร

ขนาดยาไรแฟมพินและไอโซไนอาซิดสำหรับเด็ก

ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาวัณโรค – มีอาการ

อายุน้อยกว่า 15 ปี

  • อัตราของยาไรแฟมพินร่วมกับยาไอโซไนอาซิดในยานี้อาจจะไม่เหมาะสม (เช่น ผู้ป่วยเด็กมักจะใช้ยาไอโซไนอาซิดในขนาดที่สูงกว่า)

อายุ 15 ปีขึ้นไป

  • ยาแคปซูล 2 เม็ด (ยาไอโซไนอาซิด 300 มก. และ ยาไรแฟมพิน 600 มก.) รับประทานวันละครั้งขณะท้องว่าง ไม่ 1 ชั่วโมงก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังจากมื้ออาหารหรือยาลดกรด หลังจากช่วงการรักษาเริ่มต้น
  • ระยะเวลาในการรักษา อย่างน้อย 4 เดือนหลังจากช่วงการรักษาเริ่มต้น ดำเนินการรักษาต่อไปหากผู้ป่วยยังมีเสมหะหรือยังมีเชื้ออยู่ หากมีเชื้อดื้อยา หรือหากผู้ป่วยมีเชื้อเอชไอวี

การใช้งาน

  • เพื่อรักษาวัณโรคในปอดที่เชื้อนั้นมีปฏิกิริยาไวต่อยา และเมื่อผู้ป่วยได้รับการปรับขนาดยาแต่ละส่วนของยาผสมนี้ และมีการพิสูจน์แล้วว่าขนาดยาที่ปรับนั้นมีประสิทธิภาพในการรักษา

ข้อควรระวัง

ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 15 ปี

รูปแบบของยา

ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้

  • ยาแคปซูลสำหรับรับประทาน

กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ

ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 03/08/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา