รอยดำจากสิว คือรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหาย โดยปรากฏเป็นจุดสีดำหรือน้ำตาล อาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่ตามการอักเสบของสิวและเนื้อเยื่อผิวที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 2 ปีขึ้นไปจึงจะหาย การเลเซอร์รอยดำ เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้รอยดำจากสิวจางลงได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์และข้อควรระวังก่อนตัดสินใจทำการรักษา
สาเหตุการเกิดรอยดำจากสิว
รอยดำจากสิวอาจเกิดจากสิวอักเสบและการบีบสิว ที่ส่งผลให้เนื้อเยื่อผิวได้รับความเสียหาย จนกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้นในบริเวณนั้น ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีดำ หรือสีน้ำตาล และปรากฏเป็นรอยดำทิ้งไว้หลังจากสิวหาย
ประเภทของการทำเลเซอร์รอยดำ
การทำเลเซอร์เพื่อลดรอยดำจากสิว แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
- เลเซอร์ลอกผิว (Ablative laser resurfacing) เป็นการทำเลเซอร์เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกออก โดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์ หรือลำแสงที่มีความเข้มข้นสูง (Erbium: YAG laser) เพื่อลอกผิวชั้นบนที่มีรอยดำออกไป ทำให้รอยดำจากสิวดูจางลง หลังการรักษาอาจมีอาการผิวแดงเล็กน้อย แต่มักจางลงได้เองภายในเวลาประมาณ 3-10 วัน
- เลเซอร์ที่ไม่ทำให้ผิวลอก (Non-Ablative Laser Resurfacing) เป็นวิธีการทำเลเซอร์ด้วยการฉายแสงเลเซอร์ ลงไปทำปฏิกิริยากับเม็ดสีใต้ผิวหนัง ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง
ประโยชน์ของการเลเซอร์รอยดำจากสิว
การเลเซอร์รอยดำจากสิวเป็นวิธีการรักษารอยดำจากผิวที่สามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดทอนเวลาที่ต้องใช้ในการฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดจากสิว ทำให้รอยดำจากสิวจางไว ผิวดูเรียบเนียน มีสีผิวสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การทำเลเซอร์รอยดำอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง และจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีรอยดำจากสิวร่วมกับแผลเป็นจากสิวอื่น ๆ เช่น หลุมสิวขนาดใหญ่ รอยแผลเป็นจากสิวแบบนูนหรือคีลอยด์
ผลข้างเคียงจากการเลเซอร์รอยดำ
ผลข้างเคียงจากการเลเซอร์รอยดำ มีดังนี้
- ผิวหนังแดงบวมหลังเลเซอร์
- อาการคันผิวบริเวณที่เลเซอร์
- แสบผิวหน้า
- เลือดออก
ส่วนใหญ่ผลข้างเคียงจากการเลเซอร์รอยดำมักไม่รุนแรง และอาจหายภายใน 2-3 วัน แต่หากสังเกตว่ามีอาการแสบผิวอย่างรุนแรง ผิวบวม แผลพุพอง มีหนอง ควรเข้าพบคุณหมอทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อที่ผิวหนัง
วิธีอื่นที่ช่วยกำจัดรอยดำจากสิว
วิธีอื่น ๆ ที่อาจช่วยกำจัดรอยดำจากสิว มีดังนี้
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดรอยดำ และชะลอการก่อตัวของแบคทีเรีย เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) กรดโคจิก (Kojic acid) วิตามินซี กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เรตินอยด์ (Retinoids) กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha hydroxy acids) กรดแลคติก (Lactic acid) ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) 1-2%
- การกรอผิว (Dermabrasion) โดยการใช้แปรงหมุนขัดเอาผิวหนังชั้นนอกออก เพื่อขจัดรอยดำจากสิว แต่วิธีนี้อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวแดง อาการบวม สีผิวเปลี่ยนแปลง
- การเจาะผิวโดยใช้เข็มขนาดเล็ก (Microneedling) เพื่อช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส และส่งผลให้รอยดำดูจางลง สำหรับผู้ที่มีรอยดำจากสิวขนาดใหญ่อาจจำเป็นต้องรักษาควบคู่กับการทำเลเซอร์
- การผลัดเซลล์ผิว (Chemical peel) เป็นการใช้สารสำหรับลอกผิวทาลงบนหน้าเพื่อขจัดเซลล์ผิวชั้นบนสุดออก ทำให้รอยดำลดเลือนลง แต่วิธีการนี้อาจเห็นผลช้ากว่าการรักษาด้วยเลเซอร์ และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวแดง ตกสะเก็ด อาการบวม ติดเชื้อ และสีผิวเปลี่ยนแปลง
การดูแลผิวเพื่อป้องกันรอยดำจากสิว
การดูแลผิวเพื่อป้องกันรอยดำจากสิว อาจทำได้ดังนี้
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสิวอักเสบ ที่นำไปสู่การเกิดรอยดำหลังสิวหาย
- ล้างหน้าให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อกำจัดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า ที่อาจทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดสิวอักเสบ
- เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยนต่อผิว ปราศจากน้ำหอม และไม่อุดตันรูขุมขน
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า หากแต่งหน้า ควรล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอน ไม่ควรนอนทั้งที่ยังแต่งหน้า เพราะอาจเสี่ยงต่อการอุดตันในรูขุมขนจนเกิดสิวอักเสบ
- ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป และควรหลีกเลี่ยงการออกแดดช่วงเวลา 10.00-16.00 น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่แดดค่อนข้างแรง และควรสวมเสื้อผ้าแขนขายาว และสวมหมวก เพื่อไม่ให้ผิวโดนแดดโดยตรง เพราะอาจส่งผลให้รอยดำเข้มขึ้นกว่าเดิมได้
- หยุดสูบบุหรี่ เพราะสารเคมีในบุหรี่อาจทำลายคอลลาเจน จนทำให้ผิวขาดความแข็งแรงและความยืดหยุ่น นำไปสู่การเกิดริ้วรอย และอาจทำให้รอยดำแย่ลง