backup og meta

พัฒนาการทารก ในช่วงขวบปีแรก และวิธีดูแลทารกที่เหมาะสม

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงจิตรลดา ชินสุวรรณ · พ่อแม่เลี้ยงลูก · โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช (ศรีนครินทร์)


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 27/04/2023

    พัฒนาการทารก ในช่วงขวบปีแรก และวิธีดูแลทารกที่เหมาะสม

    พัฒนาการ ทารก ในช่วงขวบปีแรก นับตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 12 เดือน ถือเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากละเลยอาจทำให้เด็กมีพัฒนาการล่าช้ากว่าวัย และส่งผลต่อการใช้ชีวิตในอนาคตได้ การดูแลเอาใจใส่ของคนในครอบครัวในด้านต่าง ๆ เช่น อาหารสำหรับทารก กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่อาจส่งเสริมให้เด็กทารกมีพัฒนาการและการเจริญเติบโตที่สมวัย 

    พัฒนาการ ทารก ช่วงขวบปีแรก

    พัฒนาการของทารกช่วงขวบปีแรก แบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่

  • ทารกอายุ 0-3 เดือน
  • ทารกแรกเกิดอาจยังไม่รู้ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือใคร แต่เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 1 เดือน อาจเริ่มมีพัฒนาการ ดังต่อไปนี้

      • จดจำเสียงและใบหน้าของคุณพ่อคุณแม่ และตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยินได้ เช่น รู้จักยิ้มตอบ
      • มองตามวัตถุที่เคลื่อนไหวไปมา
      • เอื้อมมือจับของเล่นที่ห้อยอยู่ได้ หรือหากวางสิ่งของไว้ในมือทารก ทารกอาจกำของสิ่งนั้นไว้แน่น
      • หัดยกศีรษะและดันตัวขึ้น
      • เอามือเข้าปาก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าทารกกำลังหิว
    • ทารกอายุ 4-6 เดือน

    อาจมีการตอบสนองหรือการแสดงอารมณ์ออกมาให้คุณพ่อคุณแม่รับรู้ รวมถึงมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ ดังนี้

      • หัวเราะ ยิ้ม ร้องไห้
      • ส่งเสียงอ้อแอ้เพื่อสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่
      • เอื้อมมือออกไปหยิบจับสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า เช่น เส้นผม ของเล่น
      • เริ่มรู้จักควบคุมศีรษะ และอาจเริ่มพลิกตัวจากนอนหงายเป็นเป็นนอนคว่ำ จากนอนคว่ำเป็นนอนหงายตัวด้วยตัวเอง
      • นอนหลับได้นานขึ้น
    • ทารกอายุ 7-9 เดือน

    เป็นช่วงครึ่งหลังของขวบปีแรก ซึ่งทารกมักมีพัฒนาด้านร่างกาย สติปัญญา และการเรียนรู้ ดังนี้

      • เริ่มนั่งตัวตรงพิงกับโซฟา หรือกำแพงได้เป็นเวลานาน
      • เคลื่อนที่ด้วยการคลานโดยใช้มือและเข่า เด็กบางคนอาจเริ่มตั้งไข่ คือ พยายามหาที่จับและพยุงตัวขึ้น
      • ส่งเสียงเรียกพ่อแม่เป็นคำ แต่อาจยังไม่ชัดเจนนัก
      • เข้าใจความหมายภาษามือและจดจำท่าทางได้ เช่น โบกมือบ๊ายบาย
    • ทารกอายุ 10-12 เดือน

    ถือเป็นช่วงสุดท้ายของขวบปีแรก และเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยเด็กหัดเดิน เด็กจะรู้จักสังเกตและมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่มากขึ้น ดังนี้

    • พูดสื่อสารได้มากกว่า 1-2 คำ
    • นิ้วมือเริ่มแข็งแรงขึ้น ควบคุมนิ้วมือในการหยิบจับสิ่งต่าง ๆ หรือหยิบอาหารเข้าปากเองได้
    • เริ่มหัดเดิน ด้วยการก้าวขาเล็ก ๆ ระยะสั้น 2-3 ก้าว พร้อมจับเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ไปด้วย เพื่อให้ยืนได้มั่นคงขึ้น
    • จดจำ และเลียนแบบพฤติกรรม เช่น แกล้งคุยโทรศัพท์

    ปัญหาพัฒนาการทารกที่พบบ่อย

    ปัญหาพัฒนาการของทารกที่พบบ่อย คือ พัฒนาการล่าช้า ที่ส่งผลกระทบด้านการสื่อสาร การเคลื่อนไหว ความคิด อารมณ์ นำไปสู่ความผิดปกติของระบบประสาท ความพิการทางพัฒนาการ โดยอาจมาจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้

    • สมองพิการ
    • สมาธิสั้น
    • ภาวะสูญเสียการได้ยิน การมองเห็น
    • โรคออทิสติก
    • ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่คุณแม่ดื่มระหว่างตั้งครรภ์
    • กลุ่มอาการโครโมโซมเอกซ์เปราะ (Fragile X syndrome หรือ FXS)
    • ความพิการทางสติปัญญา
    • ดีซ่าน
    • ความผิดปกติทางการเรียนรู้ด้านภาษา
    • กล้ามเนื้อเสื่อม
    • โรคฮีโมฟีเลีย หรือโรคเลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)
    • โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle Cell Disease หรือ SCD)
    • ความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง (Spina bifida)
    • โรคทูเร็ตต์ (Tourette Syndrome หรือ TS)

    วิธีกระตุ้น พัฒนาการทารก

    วิธีที่อาจช่วยกระตุ้นพัฒนาการทารกได้ มีดังนี้

    • พูดคุยกับทารกบ่อย ๆ
    • อุ้มและโอบกอดทารกด้วยความรัก
    • ร้องเพลง เปิดเพลง อ่านหนังสือให้ทารกฟัง
    • ฝึกการเรียนรู้และการสังเกตให้ทารก ด้วยการทำปากเป็นตัว O หรือแลบลิ้น หากทารกทำตาม อาจมีความหมายว่าทารกพัฒนาการด้านการเรียนรู้ สังเกต และจดจำ
    • กระตุ้นการเคลื่อนไหว การได้ยิน และการมองเห็น ด้วยของเล่นที่ดึงดูดความสนใจ เพื่อให้ทารกมองตามและเอื้อมมือมาจับ
    • พาทารกนั่งรถเข็นเด็กออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เพื่อฟังเสียงธรรมชาติ เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่

    การดูแลทารกช่วงขวบปีแรก

    วิธีดูแลทารกช่วงขวบปีแรก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของทารก มีดังนี้

    • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนสัมผัสทารก เนื่องจากทารกแรกเกิดยังมีระบบภูมิคุ้มกันไม่สมบูรณ์ เสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย
    • ขณะอุ้มหรือยกทารก ควรประคองศีรษะทารกให้ดี เพราะกระดูกคอของทารกยังไม่แข็งแรงนัก
    • ไม่ควรเล่นกับทารกรุนแรง เช่น การเขย่า การอุ้มโยน เพราะอาจส่งผลให้ทารกเลือดออกในสมอง และเสียชีวิตได้
    • ให้ทารกกินนมจากเต้าคุณแม่ทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เป็นเวลา 10-15 นาที หรือหากเป็นนมผง ควรชงให้ทารกเริ่มกินครั้งละ 2-3 ออนซ์ และเพิ่มปริมาณตามความต้องการของแต่ละช่วงวัย
    • ควรทำให้ทารกเรอหลังรับประทานอาหารหรือนม โดยการอุ้มทารกพาดไหล่ พยุงศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างตบหลังทารกเบา ๆ เพื่อไล่แก๊สหรืออากาศที่เข้าไปในท้องระหว่างดูดนม ป้องกันทารกอาเจียน หรือเป็นกรดไหลย้อน
    • ควรให้ทารกนอนหลับอย่างเพียงพอ ปกติแล้วทารกมักใช้เวลานอนมากกว่า 16 ชั่วโมง แต่อาจสะดุ้งตื่นทุก ๆ 2-3 ชั่วโมงเมื่อรู้สึกหิว เนื่องจากกระเพาะอาหารของทารกมีขนาดเล็กและนมแม่ย่อยเร็ว จึงอาจทำให้ทารกหิวบ่อย
    • ไม่ควรสวมเสื้อผ้าหรือห่มผ้าหนา ๆ ให้ทารก เพราะอาจทำให้ทารกหายใจไม่ออก เสี่ยงเสียชีวิตกะทันหัน
    • เปลี่ยนท่านอนให้ทารกบ้าง เช่น ให้ทารกนอนตะแคงซ้ายขวาสลับกันไป เพื่อป้องกันศีรษะไม่สมส่วน เนื่องจากกระดูกของทารกอาจไม่แข็งแรง หากนอนท่าใดท่าหนึ่งติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้ศีรษะด้านใดด้านหนึ่งแบนราบได้
    • ควรเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ทารกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง หรือเมื่อมีการอุจจาระหรือปัสสาวะ เพื่อป้องกันการหมักหมม การเกิดผื่นผ้าอ้อม การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และควรทำความสะอาดอวัยวะเพศและก้นของทารกให้สะอาดก่อนใส่ผ้าอ้อมทุกครั้ง
    • ห่อตัวทารก เพื่อเพิ่มความอบอุ่นและอาจทำให้ทารกรู้สึกปลอดภัย หรือสบายใจขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการห่อตัวเมื่อทารกอายุได้ 2 เดือนขึ้นไป เพราะทารกจะเริ่มพลิกตัว การห่อตัวจึงเป็นการปิดกั้นการกระตุ้นพัฒนาการ และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตกะทันหันได้
    • สำหรับทารกที่สายสะดือยังไม่หลุด คุณแม่ควรใช้ฟองน้ำค่อย ๆ เช็ดตัวให้ทารก โดยให้สายสะดือเปียกน้ำน้อยที่สุดจนกว่าสายสะดือหลุดออก หรือหากสายสะดือเปียกให้ใช้ไม้พันสำลีซับให้แห้ง
    • ดูแลสายสะดือทารกให้สะอาด ด้วยการเช็ดทำความสะอาดให้แห้ง จนกว่าสายสะดือทารกจะหลุดออก หากสะดือทารกมีสีแดง มีกลิ่นเหม็น และหนองไหล ควรปรึกษาคุณหมอทันที
    • ให้ทารกอาบน้ำอุ่น และควรทดสอบอุณหภูมิน้ำก่อนนำทารกลงไปในอ่าง น้ำในอ่างไม่ควรลึกเกิน 2-3 นิ้ว ควรประคองลำตัวและศีรษะทารกตลอดการอาบน้ำ

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงจิตรลดา ชินสุวรรณ

    พ่อแม่เลี้ยงลูก · โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช (ศรีนครินทร์)


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 27/04/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา