backup og meta

ฝังมุก ข้อดีและข้อเสียต่อสุขภาพทางเพศ

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงอรกนิษฐา อรุณาทิตย์ · สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 04/02/2023

    ฝังมุก ข้อดีและข้อเสียต่อสุขภาพทางเพศ

    ฝังมุก เป็นการผ่าตัดเพื่อฝังวัสดุที่มีลักษณะกลมเกลี้ยงเข้าไปใต้หนังหุ้มองคชาต ซึ่งเป็นความชื่นชอบและรสนิยมทางเพศส่วนบุคคล โดยการฝังมุกไม่มีประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์ แต่อาจมีข้อดีในการช่วยเพิ่มความมั่นใจ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายและอาจช่วยให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การฝังมุกอาจมีข้อควรระวังบางประการที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มทำ เพื่อสุขภาพทางเพศของตัวเองและของคู่นอน

    ฝังมุก คืออะไร

    ฝังมุก คือ การฝังวัสดุที่มีลักษณะกลมเกลี้ยง ขนาดประมาณ 4-10 มิลลิเมตร เช่น ไข่มุกแท้ ซิลิโคน โลหะ แก้ว เข้าไปในหนังหุ้มองคชาตอย่างถาวร เป็นวิธีการประดับด้วยลูกปัดมุก โดยการฝังมุกนี้มีมายาวนานกว่า 1,000 ปี และได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งจุดกำเนิดอาจเป็นเหตุผลทางศาสนาหรือเป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงาม

    ฝังมุก มีข้อดีอย่างไร

    การฝังมุกเป็นรสนิยมทางเพศในแต่ละบุคคล ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพในแง่ทางการแพทย์ โดยการฝังมุกอาจมีข้อดีบางประการต่อความรู้สึกในขณะมีเพศสัมพันธ์หรือข้อดีอื่น ๆ ดังนี้

    • อาจมีข้อดีในแง่ของความสวยงาม เนื่องจากมีการใช้วัสดุในการฝังที่แตกต่างกัน เช่น ไข่มุกแท้ ไข่มุกแก้ว ซิลิโคน โลหะ แก้ว สแตนเลส เทฟลอน (Teflon) ไทเทเนียม (Titanium) ทอง ไนโอเบียม (Niobium) แพลทินัม (Platinum) โพลีเมอร์ (Polymers) ซึ่งเป็นความชอบของแต่ละบุคคล อาจช่วยเพิ่มความมั่นใจในขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
    • อาจช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการฝังมุกในแง่ของความสวยงามอาจช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสุขทางอารมณ์ ส่งผลให้ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้เมื่อผู้ชายรู้สึกมีความมั่นใจในอวัยวะเพศของตัวเอง นอกจากนี้ วัสดุกลมเกลี้ยงที่มีการเคลื่อนไหวในขณะช่วยตัวเองหรือมีเพศสัมพันธ์ก็อาจช่วยกระตุ้นให้ผู้ชายมีอารมณ์ทางเพศมากขึ้น
    • อาจช่วยให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับความชื่นชอบในแต่ละคน โดยวัสดุที่อยู่ใต้หนังหุ้มองคชาตอาจช่วยกระตุ้นเส้นประสาทในช่องคลอดหรือทวารหนักจนถึงจุดสุดยอดได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงอาจชื่นชอบการมีเพศสัมพันธ์กับอวัยวะเพศชายแบบปกติมากกว่าการฝังมุก และการถึงจุดสุดยอดของผู้หญิงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระตุ้นที่อวัยวะเพศเพียงจุดเดียว แต่ยังมีส่วนอื่น ๆ และวิธีการเล้าโลมอื่น ๆ ที่สามารถช่วยให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดได้ เช่น ใบหู เต้านม หัวนม การลูบคลำร่างกาย

    ฝังมุกเป็นอันตรายหรือไม่

    การฝังมุกอาจมีข้อควรระวังและความเสี่ยงบางประการที่อาจส่งผลกระทบทั้งต่อตัวเองและคู่นอน ดังนี้

    • อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่อวัยวะเพศของคู่นอน เช่น เลือดออก เป็นแผลในช่องคลอด
    • อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน หนองในเทียม ซิฟิลิส
    • อาจทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
    • อาจเกิดการติดเชื้อบริเวณที่ฝังมุกจนส่งผลเสียในระยะยาว เช่น อวัยวะเพศไม่แข็งตัว อวัยวะเพศผิดรูป เนื้อตาย เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มะเร็ง
    • อาจเสี่ยงที่เนื้อเยื่อจะปฏิเสธวัสดุในการฝังมุกและดันออกมานอกอวัยวะเพศหรืออาจทำให้เกิดการติดเชื้อ ซึ่งหากเกิดการติดเชื้อที่รุนแรงจนไม่สามารถรักษาได้ อาจจำเป็นต้องตัดอวัยวะเพศ

    ขั้นตอนการฝังมุก

    การฝังมุกจำเป็นต้องทำโดยคุณหมอผู้เชี่ยวชาญและใช้เครื่องมือเฉพาะทางที่ผ่านการฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น โดยการฝังมุกอาจมีขั้นตอน ดังนี้

    • ฉีดยาชาบริเวณที่ต้องการฝังมุก เพื่อลดความเจ็บปวด
    • การฝังมุกอาจมี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการเจาะที่เส้นสองสลึง (Frenum) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ยึดเกาะระหว่างปลายอวัยวะเพศกับหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ และขั้นตอนที่ 2 คือ การฝังวัสดุใต้หนังหุ้มองคชาต ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
    • หลังจากการฝังมุกสามารถปัสสาวะได้ตามปกติ
    • เข้าพบคุณหมอตามนัดหมายเพื่อตรวจบาดแผลและความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น

    การดูแลตัวเองหลังฝังมุก

    การดูแลตัวเองหลังฝังมุกอย่างถูกวิธีอาจช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บและการติดเชื้อ ซึ่งการดูแลตัวเองอาจทำได้ดังนี้

    • ควรดูแลแผลไม่ให้โดนน้ำ 3 วัน เพื่อป้องกันความอับชื้นและการอักเสบ
    • เมื่อครบ 3 วัน ควรทำความสะอาดอวัยวะเพศเป็นประจำทุกวันเพื่อขจัดสิ่งสกปรกและเชื้อโรคที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อ และควรเช็ดอวัยวะเพศให้แห้งสนิทเสมอ เพื่อป้องกันความอับชื้นที่อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
    • หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงในหรือกางเกงที่คับแน่น เพราะอาจกดทับแผลจนทำให้เกิดการอักเสบได้
    • หลีกเลี่ยงการช่วยตัวเองหรือการมีเพศสัมพันธ์ 2 สัปดาห์ เพื่อรอให้แผลหายสนิท เพราะแผลอาจใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน ถึงจะหายสนิท ทั้งนี้ อาจขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละคนด้วย
    • สังเกตอาการติดเชื้อ หากพบว่ามีอาการต่าง ๆ เช่น มีไข้ ผิวบริเวณที่เจาะอุ่น บวมแดง มีกลิ่นเหม็น เจ็บปวด มีหนองสีเหลืองหรือสีเขียว ควรรีบเข้าพบคุณหมอทันที

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงอรกนิษฐา อรุณาทิตย์

    สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


    เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 04/02/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา