backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

โรคเริมที่อวัยวะเพศ อาการ สาเหตุ การรักษา

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง · สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย นนทกร บัณฑิตสินทรัพย์ · แก้ไขล่าสุด 05/04/2023

โรคเริมที่อวัยวะเพศ อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคเริมที่อวัยวะเพศ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และปาก ผู้ที่เป็นโรคเริมอาจรับประทานยาปฏิชีวนะหรือใช้ยาทาเพื่อบรรเทาอาการ แต่ถ้าหากอาการรุนแรง เช่น เจ็บหรือปวดแผล มีไข้ ควรไปพบคุณหมอและรับการรักษาตามขั้นตอน

คำจำกัดความ

โรคเริมที่อวัยวะเพศ คืออะไร

โรคเริมที่อวัยวะเพศ คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ HSV-1 และ HSV-2 โดยทั้ง 2 ชนิดสามารถส่งผลต่ออวัยวะเพศได้ แต่ส่วนมากโรคเริมที่อวัยวะเพศมักเกิดจากเชื้อไวรัสชนิด HSV-2 และเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ โรคเริมที่อวัยวะเพศอาจทำให้เกิดอาการปวด คัน มีแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ เป็นต้น

โรคเริมที่อวัยวะเพศพบบ่อยแค่ไหน

โรคเริมที่อวัยวะเพศสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย มักพบในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีกิจกรรมทางเพศเป็นประจำ

อาการ

อาการของโรคเริมที่อวัยวะเพศ

โรคเริมที่อวัยวะเพศอาจมีอาการดังนี้

  • ตุ่มพองเล็ก ๆ หรือตุ่มน้ำใสบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ต้นขา ก้น เป็นต้น
  • คันอวัยวะเพศ
  • มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ปวดหลัง ปวดศีรษะ มีไข้
  • ปวดหรือแสบเวลาปัสสาวะ
  • ตกขาวผิดปกติ หรือมีกลิ่น
  • ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัส HSV อาจจะยังไม่มีอาการปรากฏทันที แต่มักมีอาการปรากฏหลังจากได้รับเชื้อไวรัส 2-12 วัน หรือในบางกรณีอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีถึงจะแสดงอาการ หรืออาการอาจปรากฏเมื่อมีปัจจัยมากระตุ้น เช่น เครียด ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ พักผ่อนน้อย

    ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด

    หากมีอาการแสบร้อน คันบริเวณอวัยวะเพศ และมีไข้ หรือกังวลว่าอาจเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

    สาเหตุ

    สาเหตุของโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    โรคเริมที่อวัยวะเพศเกิดจากการติดเชื้อไวรัสไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่

    1. HSV-1 มักทำให้เกิดโรคเริมที่ปาก ส่วนใหญ่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสผิวหนัง และสามารถแพร่กระจายไปยังบริเวณอวัยวะเพศได้หากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
    2. HSV-2 มักทำให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ โดยไวรัสจะแพร่กระจายจากการมีเพศสัมพันธ์และสัมผัสผิวหนัง

    ปัจจัยเสี่ยง

    ปัจจัยเสี่ยงของโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ เช่น

    • ผู้หญิงอาจมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากไวรัสติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์จากผู้ชายสู่ผู้หญิงได้ง่ายกว่าจากผู้หญิงสู่ผู้ชาย
    • มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
    • เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
    • ใช้ของร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว
    • สัมผัสผิวหนัง หรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ เช่น น้ำลาย อสุจิ น้ำเหลือง

    การวินิจฉัยและการรักษาโรค

    ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม

    การวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    โรคเริมที่อวัยวะเพศอาจวินิจฉัยได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • การตรวจร่างกาย คุณหมอจะตรวจสอบแผลหรือตุ่มน้ำใสบริเวณอวัยวะเพศ
  • การตรวจเลือด คุณหมอจะเก็บตัวอย่างเลือด เพื่อตรวจหาแอนติบอดี หรือภูมิต้านทานโรคเริม
  • การตรวจชิ้นเนื้อ คุณหมอจะขูดเนื้อเยื่อจากแผลหรือตุ่มน้ำ เพื่อตรวจหาโรค
  • การรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศ

    ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศให้หายขาด แต่วิธีรักษาดังต่อไปนี้อาจช่วยบรรเทาอาการได้

    • รับประทานยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ฟามซิโคลเวียร์ (Famciclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) อาจช่วยลดความเสี่ยงที่ไวรัสจะแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น
    • ยาทาภายนอก เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) เพนซิโคลเวียร์ (Penciclovir) อาจช่วยลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วขึ้น รวมถึงอาจช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
    • ใช้น้ำเกลือล้างแผล เช็ดทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศรอบนอก เพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วเช็ดให้แห้ง

    ทั้งนี้ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้คุณหมอทราบว่าเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ คุณหมอจะได้แนะนำวิธีคลอดที่ช่วยลดความเสี่ยงที่ทารกจะติดเชื้อเริมจากแม่ในระหว่างคลอด เช่น การผ่าคลอด

    การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง

    การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง

    การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองด้วยวิธีดังต่อไปนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศได้

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล น้ำลาย และสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ
    • หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า แก้วน้ำ
    • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

    หากติดเชื้อไวรัสโรคเริมแล้ว และเพื่อไม่ให้อาการกำเริบอีกครั้งควรปฏิบัติดังนี้

    • พักผ่อนให้เพียงพอ
    • พยายามไม่เครียด
    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    • ดื่มน้ำให้มาก ๆ
    • ใช้ยาตามคำแนะนำของคุณหมอ

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง

    สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


    เขียนโดย นนทกร บัณฑิตสินทรัพย์ · แก้ไขล่าสุด 05/04/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา