การรักษารอยแผลเป็นชนิดลึก
แพทย์ผิวหนังเฉพาะทางอาจจำเป็นต้องทำการตรวจสอบถึง รอยแผลเป็นจากสิว นี้อย่างละเอียดเสียก่อน เพื่อประเมินการรักษาที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับผิวหน้า ซึ่งอาจเป็นการใช้เครื่องมือบางอย่างเข้าไปตัด หรือเลาะพังผืดใต้ผิวออก เพื่อให้ผิวหนังหนังรู้สึกตื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เนื่องด้วยเป็นรอยแผลเป็นที่ค่อนข้างรักษาได้ยาก จึงทำให้ผู้ที่ประสบกับรอยแผลเป็นนี้ต้องหมั่นเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามใบนัดของแพทย์ ไม่ควรขาดการรักษาเป็นเวลานาน หากอยากให้ใบหน้ากลับมาเรียบเนียน
2. รอยดำจากสิว
รอยแผลเป็นประเภทนี้ค่อนข้างพบได้ทั่วไป และสามารถพบได้บ่อยมากที่สุด ซึ่งเป็นร่องรอยรอยที่เกิดมาจากผิวที่ได้รับผลกระทบจากสิวรุนแรง จนทำให้ผิวหลังจากสิวหายเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสีดำ สีน้ำตาล สีแดง หรือสีม่วง ตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล
การรักษารอยดำจากสิว
อาจต้องใช้ยาลดรอยแผลตามคำแนะนำของเภสัชกร หรือแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง โดยเฉพาะยาที่มีส่วนประกอบของกรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha hydroxy acids) หรือ กรดเอเอชเอ (AHAs) เนื่องจากสารดังกล่าวมีคุณสมบัติในการลดรอย และปรับสีของรอยดำให้ดูจางตั้งแต่ในระดับน้อย ถึงปานกลางได้
3. รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic)
เป็นรอยแผลเป็นที่สังเกตได้ค่อนข้างง่าย เพราะรอยเป็นนี้จะนูนออกมาจากผิวหนัง ในบางครั้งก็อาจมีขนาดใหญ่ และนูนกว่าตุ่มสิวเดิมได้ เนื่องจากกระบวนการของการเกิดแผลเป็นนี้มาจากการผลิตคอลลาเจนที่มากเกินไป โดยไม่รู้ว่าแผลจากสิวได้ทำการปิดสนิทแล้วนั่นเอง
การรักษารอยแผลเป็นนูน
การรักษาส่วนใหญ่ที่ทางแพทย์เลือกใช้มัก เป็นการฉีดสเตียรอยด์เข้าไป เพื่อให้รอยแผลเป็นนี้มีความนิ่ม และหดตัวลง แต่ข้อเสียคืออาจจำเป็นต้องทำการฉีดอยู่บ่อยครั้งต่อเนื่องจนกว่าก้อนนูนนี้จะยุบลงตัวลงอย่างถาวร แต่สำหรับผู้ที่ไม่อยากรอนาน หรือไม่ค่อยมีเวลามากนัก อาจเลือกเป็นการรักษาแบบการเลเซอร์ หรือการผ่าตัดได้ แต่ควรอยู่ในการพิจารณา และการอนุญาตจากแพทย์ที่ทำการรักษาผิวหน้าเสียก่อน
การดูแลผิวหลังจากรักษารอยแผลเป็นจากสิว
การป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นลุกลามขึ้นมาอีกรอบนั่นก็คือ การยับยั้งสิว และการดูแลผิวหน้าอย่างถูกต้องวิธีเพื่อป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าด้วยสารประกอบที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านสิว เช่น ซาลิไซลิก แอซิด (Salicylic Acid) เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือผลิตภัณฑ์ตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางกำหนด
ที่สำคัญ ควรงดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่สร้างความระคายเคืองให้แก่ผิวหน้า เช่น ใยบวบขัดหน้า สครับขจัดเซลล์ผิว เป็นต้น อีกทั้งยังควรหมั่นทาครีมกันแดดที่มีเนื้อครีมเหมาะกับผิวหน้าอย่างเป็นประจำ เพื่อช่วยป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด ที่อาจเข้ามาทำร้ายชั้นผิวหนังให้ได้รับความเสียหาย และเกิดเป็นสิว หรือร่องรอยจุดด่างดำ ฝ้า กระ ได้ในอนาคต
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย