backup og meta

กะหล่ำปลี ลดน้ำหนัก ทำได้จริงหรือไม่

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย เนตรนภา ปะวะคัง


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 12/01/2023

    กะหล่ำปลี ลดน้ำหนัก ทำได้จริงหรือไม่

    บางคนอาจเคยได้ยิน ความเชื่อเกี่ยวกับการ กิน กะหล่ำปลี เพื่อช่วยลดน้ำหนัก กันมาบ้างไม่มากก็น้อย แถมยังเป็นหนึ่งในวิธีการลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้น ๆ ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ ควรศึกษาข้อมูลให้ดีว่า กะหล่ำปลีช่วยลดน้ำหนักได้จริง หรือเป็นเพียงแค่ความเชื่อผิด ๆ เท่านั้น และแม้กะหล่ำปลีจะช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ก็ควรกินอาหารอื่น ๆ ที่ดีต่อสุขภาพให้หลากหลายด้วย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ต้องการครบถ้วน และควรดูแลการรับประทานอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้สามารถลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผลและดีต่อสุขภาพ

    กะหล่ำปลี ผักที่เต็มไปด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพ

    กะหล่ำปลีนั้นเป็นผักที่ได้รับความนิยม ในการนำมาประกอบอาหารต่าง ๆ เพราะนอกจากจะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว การรับประทานกะหล่ำปลียังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย เช่น

    ดีต่อสุขภาพหัวใจ

    กะหล่ำปลีนั้นเป็นแหล่งสำคัญของใยอาหารและโพแทสเซียม ที่สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และความดันโลหิต ซึ่งเป็นสองปัจจัยหลักที่จะนำไปสู่โรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจต่างๆ เช่น โรคหัวใจ หรือโรคความดันโลหิต เป็นต้น การรับประทานกะหล่ำปลีเป็นประจำ จึงสามารถช่วยบำรุงหัวใจ และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ วิตามินบีที่อยู่ในกะหล่ำปลียังสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจกำเริบ และโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย

    ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด

    ผักในตระกูลกะหล่ำมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยรักษาระดับของน้ำตาลในเลือด ไม่ให้พุ่งสูงหรือลดต่ำจนเกินไป เนื่องจากมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และมีใยอาหารสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างผู้ป่วยโรคเบาหวาน

    ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย

    ใยอาหารในกะหล่ำปลีเป็นเส้นใยไม่ละลายน้ำที่ดีต่อลำไส้ เพราะใยอาหารประเภทนี้จะไม่ถูกย่อยสลายในลำไส้ ทำให้สามารถช่วยเพิ่มเส้นใยและน้ำในอุจจาระ ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น และขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ป้องกันท้องผูกได้ นอกจากนี้กะหล่ำปลียังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยให้เชื้อแบคทีเรียในลำไส้สามารถทำงานได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นได้อีกด้วย

    ป้องกันมะเร็ง

    มีงานวิจัยที่พบว่า การรับประทานกะหล่ำปลีเป็นประจำ สามารถช่วยป้องกันมะเร็งได้ เนื่องจากในกะหล่ำปลีนั้นมีสารประกอบชัลโฟราเฟน (Sulforaphane) ที่มีคุณสมบัติในการช่วยต่อต้านมะเร็ง โดยการช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง อีกทั้งยังอาจสามารถช่วยลดขนาดของเนื้องอกในเซลล์มะเร็งเต้านมได้อีกด้วย

    กะหล่ำปลีช่วยลดน้ำหนัก ได้จริงๆ เหรอ

    คำถามที่ว่า กะหล่ำปลีช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ คำตอบก็คือ ได้ เพราะการรับประทานกะหล่ำปลีนั้น สามารถช่วยควบคุมปริมาณของแคลอรี่ที่ได้รับจากอาหารในแต่ละมื้อได้ เนื่องจากกะหล่ำปลีนั้นเป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำ การรับประทานกะหล่ำปลี 1 ถ้วย จะให้พลังงานแค่เพียง 22 กิโลแคลอรี่เท่านั้น แถมยังมีใยอาหารสูง ไม่มีไขมัน และเป็นแหล่งสำคัญของวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย

    ใยอาหารที่อยู่ในกะหล่ำปลี จะทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องได้เร็วขึ้น ทำให้เราบริโภคอาหารอื่น ๆ ได้น้อยลง แถมยังช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย แก้อาการท้องผูก เหมาะสำหรับการควบคุมน้ำหนัก ดังนั้นเราจึงสามารถลดน้ำหนักจากการรับประทานกะหล่ำปลีได้ เนื่องจากจำกัดการบริโภคแคลอรี่ที่ได้รับนั่นเอง

    ข้อควรระวังในการกินกะหล่ำปลี

    ในกะหล่ำปลีนั้นมีวิตามินเค (Vitamin K) สูงมาก และอาจทำปฏิกิริยากับยาเจือจางเลือดได้ ผู้ที่กำลังใช้ยาเจือจางเลือด ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่มีวิตามินเคสูงในระหว่างการใช้ยาเจือจางเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากับประสิทธิภาพของยา

    นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงอย่างกะหล่ำปลีในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดปัญหา อาหารไม่ย่อย ท้องอืด และท้องเฟ้อได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ค่อยได้รับประทานผักผลไม้ เพราะกระเพาะอาหารนั้นไม่คุ้นเคยกับการย่อยใยอาหาร ดังนั้นจึงควรแบ่งรับประทานกะหล่ำปลีทีละน้อยๆ ในแต่ละมื้อ เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวได้ และเพื่อป้องกันอาการอาหารไม่ย่อย

    สุดท้ายนี้ แม้ว่าการรับประทานกะหล่ำปลี จะสามารถช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักได้จริง แต่ก็เป็นเพียงแค่ตัวช่วยในการลดน้ำหนักอย่างหนึ่งเท่านั้น หากต้องการวิธีการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลจริง อย่าลืมการควบคุมอาหาร จำกัดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และของทอด นอกจากนี้ก็อย่าลืมออกกำลังกายเพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ทำให้น้ำหนักลดโดยไม่ต้องกังวลกับโยโย่เอฟเฟคต์กันนะคะ

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    เนตรนภา ปะวะคัง


    เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 12/01/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา