มะเร็ง เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์ที่ผิดปกติและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งยังสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยโรคมะเร็งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2563 มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากที่สุดเกือบ 10 ล้านคน และอาจมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับประเทศไทย สถาบันมะเร็งแห่งชาติกล่าวว่าปัจจุบันสถิติผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้น 139,206 คน/ปี และมีอัตราเสียชีวิต 84,073 คน/ปี ซึ่งมะเร็งที่ถูกค้นพบมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งปากมดลูก ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยหากสังเกตพบว่า ตนเองมีอาการผิดปกติ เช่น ไอ เสียงแหบ โดยไม่ทราบสาเหตุ รับประทานอาหารลำบาก เลือดออกทางทวารหนัก ผิวหนังเป็นแผล มีตุ่มหรือเป็นก้อน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็ง หรือตรวจวินิจฉัยมะเร็งในทันที เพื่อรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
มะเร็ง เกิดจากอะไร
มะเร็ง เกิดจากเซลล์ในร่างกายมีการแบ่งตัวหรือเจริญเติบโตรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ จนอาจเกิดเป็นเนื้อร้าย เนื้องอก นอกจากนี้ เซลล์มะเร็งอาจสามารถแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย ทำลายเนื้อเยื่อในอวัยวะต่าง ๆ โดยมะเร็งมีมากกว่า 100 ประเภท โดยมักเรียกตามอวัยวะหรือเนื้อเยื่อบริเวณที่เกิดมะเร็ง เช่น มะเร็งสมอง มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม ทั้งนี้ สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนที่ได้รับมาจากคนในครอบครัว ภาวะสุขภาพบางประการ รวมถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย การตากแดดเป็นเวลานาน การสัมผัสหรือสูดดมสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ลำไส้ใหญ่บวม โรคอ้วน ก็อาจส่งผลให้มีแนวโน้มเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้เช่นกัน
สัญญาณเตือนของมะเร็งอาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่อาจแสดงอาการต่าง ๆ ดังนี้
อาการไอเรื้อรัง หายใจลำบาก ปวดศีรษะ เหนื่อยล้าง่าย คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ เหงื่อออกเยอะ โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน รับประทานอาหารหรือกลืนอาหารลำบาก อาหารไม่ย่อย รู้สึกไม่สบายช่องท้อง ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เลือดออก มีรอยฟกช้ำบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ ผิวหนังเปลี่ยนสี อาจทำให้ผิวมีสีเหลือง คล้ำ หรือแดง แผลหายช้า น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง ปัสสาวะลำบาก ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง รู้สึกเจ็บปวดและมีเลือดออกขณะขับถ่าย มีก้อนหนาใต้ผิวหนัง การตรวจวินิจฉัยมะเร็ง
คุณหมออาจใช้วิธีการตรวจมะเร็ง ดังนี้
การตรวจสุขภาพ คุณหมออาจสอบถามประวัติสุขภาพของครอบครัวและตรวจร่างกายเบื้องต้น เพื่อหาก้อนเนื้อใต้ผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย และอาจตรวจหาสัญญาณของโรคมะเร็ง เช่น สีผิวเปลี่ยนแปลง เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจมีแนวโน้มที่จะเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ นอกจากนี้ คุณหมออาจทำการตรวจเลือด ปัสสาวะ และอุจจาระ ในการตรวจสอบความผิดปกติต่าง ๆ
- การตรวจมะเร็งจากภาพ
เป็นวิธีตรวจหามะเร็งภายในด้วยการสร้างภาพโครงสร้างของร่างกายจากรังสีเอกซเรย์ คลื่นเสียง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้คุณหมอทราบถึงสิ่งผิดปกติ เช่น เนื้องอก ก้อนเนื้อ และสิ่งผิดปกติอื่น ๆ การตรวจสอบนี้มีหลายประเภทด้วยกัน ได้แก่
- เอกซเรย์ เป็นการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสร้างภาพภายในร่างกาย โดยส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบภาพขาวดำ เป็นวิธีที่รวดเร็วและสะดวกที่สุด และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ คัน ลมพิษ ความดันโลหิตต่ำ เหมาะสำหรับการตรวจโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งกระดูก โรคข้ออักเสบ หลอดเลือดอุดตัน ปัญหาทางเดินอาหาร ปอดบวม
- ซีที สแกน (CT Scan) คือ การสแกนด้วยการเอกซเรย์ซึ่งจะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เพื่อฉายภาพที่สแกนมุมต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระดูก หลอดเลือด เนื้อเยื่อ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก กล้ามเนื้อ เนื้องอก ภาวะลิ่มเลือด มะเร็ง โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ รวมไปถึงตรวจสุขภาพเพื่อหาอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และอาการผิดปกติหลังจากผ่าตัด สำหรับสตรีตั้งครรภ์อาจหลีกเลี่ยงการใช้วิธีนี้ เพื่อป้องกันทารกในครรภ์ได้รับรังสี โดยคุณหมออาจใช้วิธีการอัลตร้าซาวด์ เพื่อความปลอดภัย
- อัลตร้าซาวด์ เป็นการวินิจฉัยด้วยคลื่นเสียงสะท้อนกับเนื้อเยื่อในร่างกาย เพื่อสร้างภาพโครงสร้างของร่างกายให้ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เหมาะสำหรับการตรวจระบบไหลเวียนของเลือด ก้อนเนื้อ เนื้องอก ต่อมไทรอยด์ ปัญหาการทำงานของต่อมลูกหมาก มดลูก รังไข่
- การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เป็นการสแกนร่างกายโดยใช้คลื่นแม่เล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ เพื่อสร้างภาพของรายละเอียดภายในร่างกายและสามารถตรวจสอบได้ทุกส่วนของร่างกาย เช่น สมอง ไขสันหลัง หน้าอก กระดูก ข้อต่อ ตับ มดลูก ต่อมลูกหมาก เพื่อหาสาเหตุของโรค
- การตรวจด้วยสารกัมมันตรังสี (Nuclear Scan) ใช้ตรวจหามะเร็งโดยการใช้สารกัมมันตรังสีฉีดเข้าสู่หลอดเลือด และแสกนด้วยเครื่องเพื่อตรวจจับกัมมันตรังสีที่ไหลทั่วร่างกาย สร้างภาพอวัยวะ โครงสร้างต่าง ๆ เผยบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ บางคนอาจมีความเสี่ยงแพ้ต่อสารกัมมันตรังสีเล็กน้อย สำหรับสตรีตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรควรแจ้งให้คุณหมอทราบก่อนเข้ารับการตรวจ เพื่อความปลอดภัยของทารก คุณหมออาจใช้การตรวจหามะเร็งด้วยวิธีอื่นแทน
- การส่องกล้อง
คุณหมออาจใช้วิธีการตรวจด้วยการสอดกล้องขนาดเล็ก ผ่านเข้าสู่ทางช่องปาก หรือทวารหนัก เพื่อตรวจหามะเร็ง และสิ่งผิดปกติ โดยประเภทของการส่องกล้อง แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เป็นการตรวจที่ส่องกล้องผ่านเข้าไปบริเวณลำไส้โดยตรง เหมาะสำหรับผู้ที่ตรวจคัดกรองหามะเร็งลำไส้ ติ่งเนื้อ ความผิดปกติภายในช่องท้อง เช่น อาการปวดท้อง ท้องร่วงเรื้อรัง เลือดออกปนกับอุจจาระ
- การส่องกล้องในกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy) คุณหมอจะทำการสอดกล้องผ่านท่อยาวที่มีความยืดหยุ่น หรือแบบแข็ง เพื่อตรวจหาสาเหตุสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหากระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นเลือด การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ก่อนการสอดท่อคุณหมออาจฉีดยาชา หรือให้ยาระงับความรู้สึกเพื่อลดความกังวลขณะตรวจ
- การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (ERCP) เป็นการวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นในตับ ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี และตับอ่อน โดยใช้กล้องเอนโดสโคปที่มีความยืดหยุ่นผ่านช่องปากลงไปในลำคอ ควบคู่กับการเอกซเรย์ เพื่อให้เห็นรายละเอียดภายในมากขึ้น ใช้สำหรับตรวจผู้ป่วยที่ปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน เช่น การอุดตันของท่อตับอ่อน การติดเชื้อในท่อน้ำดี เนื้องอก สำหรับสตรีตั้งครรภ์ คุณหมออาจเปลี่ยนวิธีการตรวจด้วยเทคนิคอื่นแทน เพราะอาจส่งผลให้ทารกได้รับรังสีที่เสี่ยงต่อการพิการแต่กำเนิด
- การส่องกล้องตรวจหลอดลม (Bronchoscopy) เป็นการส่องกล้องผ่านทางจมูกหรือปากลงสู่ลำคอจนถึงปอด เพื่อตรวจเช็กหาความผิดปกติตามทางเดินหายใจ บางคนอาจได้รับการเอกซเรย์ทรวงอกร่วมด้วย วิธีนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงภายใน เช่น มีไข้เล็กน้อย เลือดออก ปอดยุบ
- การตรวจชิ้นเนื้อ
เป็นขั้นตอนผ่าตัดขนาดเล็กที่คุณหมออาจให้ยาระงับประสาทหรือฉีดยาชา แล้วนำเนื้อเยื่อมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อหาสาเหตุว่าเสี่ยงเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ โดยการตรวจจะขึ้นอยู่กับอาการของมะเร็งบริเวณนั้น ซึ่งอาจนำชิ้นเนื้อออกมาพร้อมกับวิธีการส่องกล้อง หตัรือใช้เข็มเจาะดูดชิ้นเนื้อ