backup og meta

ถุงยางอนามัย มีประโยชน์อย่างไร และควรเลือกอย่างไร

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงอรกนิษฐา อรุณาทิตย์ · สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 7 วันก่อน

    ถุงยางอนามัย มีประโยชน์อย่างไร และควรเลือกอย่างไร

    ถุงยางอนามัย สามารถป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ปัจจุบันจึงมีการรณรงค์ให้ทุกคนใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม ดังนั้น ทุกคนจึงควรทำความรู้จักถุงยางให้มากขึ้น รวมทั้งเรียนรู้ถึงวิธีเลือกและวิธีใช้ถุงยางอย่างถูกต้อง เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

    ถุงยางอนามัยมีประโยชน์อย่างไร

    ถุงยางอนามัยเป็นวัสดุที่ทำจากยางพาราหรือโพลียูรีเทน (Polyurethane หรือ PU) ซึ่งมีความปลอดภัยต่อร่างกาย โดยถุงยางอนามัยจะทำหน้าที่เก็บน้ำอสุจิและป้องกันไม่ให้น้ำอสุจิเข้าไปในช่องคลอด จึงอาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ ถุงยางอนามัยยังสามารถครอบปิดอวัยวะเพศชายและป้องกันการสัมผัสโดยตรงกับช่องคลอดผู้หญิง จึงอาจป้องกันการแพร่เชื้อในขณะมีเพศสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี

    ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย

    การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยถุงยางอนามัยผู้ชายอาจป้องกันได้ประมาณ 98% และถุงยางอนามัยผู้หญิงอาจป้องกันประมาณ 95% รวมทั้งยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อเอชไอวี หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส เริมได้ถึง 100% หากใช้อย่างถูกต้องและถุงยางไม่แตก

    ถุงยางอนามัย ควรเลือกอย่างไร

    ควรเลือกถุงยางให้เหมาะกับสภาพผิวและขนาดของผู้ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงยางแตก และมีประสิทธิภาพในการใช้งาน ซึ่งถุงยางอนามัยมีการผลิตและจำหน่ายด้วยกัน 3 ประเภท ดังนี้

    • ถุงยางอนามัยจากลำไส้สัตว์ ซึ่งทำจากส่วนลำไส้ของแกะ ไม่สามารถยืดตัวได้ และไม่รัดยึดแน่นไปกับอวัยวะเพศ มีความกว้างประมาณ 62-80 มิลลิเมตร และความหนาประมาณ 0.15 มิลลิเมตร แต่ในปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้วจึงไม่มีขายโดยทั่วไป
    • ถุงยางอนามัยจากยางธรรมชาติ มีความบางและยืดหยุ่นได้ดีกว่า แต่ขนาดความกว้างน้อยเมื่อสวมใส่จึงอาจรัดแน่นอวัยวะเพศได้มากกว่า แต่ถุงยางอนามัยประเภทนี้ห้ามใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นประเภทน้ำมันได้เพราะอาจจะทำให้ถุงยังเสื่อมใช้ได้แต่กับสารหล่อลื่นที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก
    • ถุงยางอนามัยจากพลาสติก (Polyurethane) มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงคงทนกว่าถุงยางจากยางธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังอาจใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นที่ทำจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เช่น น้ำมัน ออยล์ โดยไม่ทำให้ถุงยาอนามัยเสื่อมสภาพหรือแตกง่าย

    วิธีวัดขนาดถุงยางอนามัย

    ผู้ชายจำเป็นต้องวัดขนาดอวัยวะเพศของตัวเอง เพื่อจะได้ซื้อถุงยางอนามัยได้ถูกต้อง ช่วยป้องกันไม่ให้ถุงยางคับแน่นเกินไปจนแตก หรือหลวมเกินไปจนหลุดง่าย โดยวิธีการวัดขนาดอาจทำได้ ดังนี้

    วัดเส้นรอบวงขององคชาติเป็นหน่วยมิลลิเมตร ด้วยการใช้เชือกหรือสายวัดพันรอบส่วนที่หนาที่สุดขององคชาตในขณะแข็งตัว จากนั้นนำมาหาร 2 ก็จะได้ขนาดของถุงยางอนามัยที่เหมาะสม เช่น วัดเส้นรอบวงได้ 105 มิลลิเมตร นำมาหารด้วย 2 จะได้ 52.5 มิลลิเมตร เป็นต้น

    วิธีใช้ถุงยางอนามัยผู้ชาย

    1. แกะถุงยางอนามัยออกจากห่ออย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ถุงยางฉีกขาด
    2. วางถุงยางไว้บนหัวองคชาตที่แข็งตัว จากนั้นบีบปลายถุงยางเพื่อไล่อากาศและค่อยรูดถุงยางลงมาให้คลุมองชาตจนถึงโคนองคชาต
    3. หลังมีเพศสัมพันธ์ให้จับฐานถุงยางอนามัยไว้ก่อนดึงออกจากช่องคลอด เพื่อป้องกันการหลุดออก
    4. ถอดถุงยางอนามัยอย่างระมัดระวัง ใช้กระดาษห่อถุงยางไว้ก่อนทิ้งลงถังขยะ
    5. ถ้าใช้ถุงยางอนามัยเกินครึ่งชั่วโมงควรเปลี่ยนอันใหม่

    วิธีใช้ถุงยางอนามัยผู้หญิง

  • แกะถุงยางอนามัยออกจากห่ออย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ถุงยางฉีกขาด
  • ถือถุงยางอนามัยไว้แล้วใช้มืออีกข้างบีบปลายถุงยางให้มีขนาดเล็กลง จากนั้นค่อย ๆ สอดเข้าในช่องคลอด
  • ใช้นิ้วมือสอดเข้าไปในถุงยางอนามัยและดันเข้าไปให้ถึงปากช่องคลอด จากนั้นถุงยางจะคลายตัวออกเอง
  • ตรวจสอบอีกครั้งว่าถุงยางอยู่ในตำแหน่งถูกต้อง ไม่พับงอ และปลายเปิดอยู่ด้านนอกอวัยวะเพศหญิง
  • หลังการมีเพศสัมพันธ์ ถอดถุงยางออกด้วยการบิดปลายเปิดของถุงยางและดึงออกจากอวัยวะเพศ
  • ห่อถุงยางด้วยกระดาษจากนั้นทิ้งในถังขยะ
  • หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงอรกนิษฐา อรุณาทิตย์

    สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


    เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 7 วันก่อน

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา