ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดภาวะไฮเปอร์ไทรอยด์
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดไฮเปอร์ไทรอยด์ เช่น
- อายุ และเพศ อาจพบได้บ่อยในผู้หญิงอายุ 60 ปีขึ้นไป
- กรรมพันธ์ุ ครอบครัวมีประวัติการมีภาวะไฮเปอร์ไทรอยด์
- รับประทานอาหารที่มีไอโอดีนเป็นประจำ เช่น อาหารทะเล ปลาทะเล
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
- ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคโลหิตจาง เบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง
- สูบบุหรี่
ภาวะแทรกซ้อนของไฮเปอร์ไทรอยด์
หากไม่ทำการรักษาภาวะไฮเปอร์ไทรอยด์ อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพร่างกายได้ ดังนี้
- ปัญหาสายตา พบได้ในผู้ป่วยโรคเกรฟส์ อาจส่งผลทำให้ตาไวต่อแสง ตาแห้ง เห็นภาพซ้อน ในบางกรณีอาจสูญเสียการมองเห็น
- ปัญหาการเจริญพันธ์ุ เช่น ภาวะมีบุตรยาก
- ปัญหาหัวใจ หากหัวใจเต้นผิดปกติอาจทำให้เกิดลิ่มเลือด หัวใจโต ภาวะหัวใจวาย
- ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ทำให้กระดูกบางลง และกลายเป็นโรคกระดูกพรุน
- ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ความดันโลหิตสูง คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักทารกแรกเกิดต่ำ แท้งบุตร
การวินิจฉัยไฮเปอร์ไทรอยด์
การวินิจฉัยอาจทำได้หลายวิธี โดยคุณหมอจะสอบถามประวัติการรักษา และอาการต่าง ๆ รวมถึงอาจมีการทดสอบเพิ่มเติม เช่น
- ตรวจร่างกาย โดยเช็คบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น
- ตา เพื่อตรวจหาอาการตาแดง บวม ที่อาจเป็นสัญญาณของโรคเกรฟส์
- มือ เพื่อดูว่ามีอาการมือสั่นหรือไม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเล็บ
- ผิว สัมผัสว่าผิวมีความแห้งหรือมีเหงื่อผิดปกติหรือไม่
- คอ สัมผัสบริเวณไทรอยด์ เพื่อดูว่าต่อมไทรอยด์โต มีลักษณะนุ่มผิดปกติหรือไม่
- หัวใจ โดยใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจว่าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติหรือไม่
ตรวจเลือด เป็นการเจาะเลือดเพื่อตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ โดยวัดปริมาณของฮอร์โมนไทรอยด์ T3 และ T4 ในเลือด รวมถึงค่า TSH ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่กระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมน T3 และ T4 หากต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากเกินไปเป็นภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ซึ่งผลการตรวจเลือดจะพบว่า T3 และ T4 สูงแต่ TSH ต่ำ หากต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ ผลการตรวจเลือดจะพบว่า T3 และ T4 ต่ำแต่ TSH สูง เอกซเรย์ ช่วยให้คุณหมอสามารถเห็นถึงการทำงานและความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ชัดขึ้น โดยอาจมีวิธีดังต่อไปนี้ - การสแกนต่อมไทรอยด์ เป็นการตรวจโดยใช้กัมมันตภาพรังสีจำนวนเล็กน้อยในการสร้างภาพต่อมไทรอยด์ เพื่อให้เห็นถึงการทำงานของต่อมไทรอยด์
- การตรวจอัลตราซาวด์ เป็นการใช้คลื่นความถี่สูง เพื่อดูขนาดของต่อมไทรอยด์ และดูว่ามีก้อนที่ต่อมไทรอยด์หรือไม่
- การทดสอบการดูดซึมสารกัมมันตรังสีไอโอดีน โดยการกลืนไอโอดีนกัมมันตรังสีในรูปแบบของแคปซูลหรือของเหลว การดูดซึมไอโอดีนต่ำ อาจบ่งชี้ถึงภาวะไฮเปอร์ไทรอยด์ที่เกิดจากการอักเสบหรือการใช้ยาทดแทนฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป หากการดูดซึมไอโอดีนสูง อาจบ่งชี้ว่าเป็นโรคเกรฟส์ หรือก้อนที่ต่อมไทรอยด์
วิธีรักษาไฮเปอร์ไทรอยด์
การรักษาไฮเปอร์ไทรอยด์มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ซึ่งวิธีการรักษาอาจมีดังนี้
- การรับประทานยา เช่น
- ยาต้านไทรอยด์ เช่น เมไทมาโซล (Methimazole) โพรพิลไทโอยูราซิล (Propylthiouracil) ช่วยทำให้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์น้อยลง อาจต้องกินยาเป็นเวลา 1-2 ปี นอกจากนี้ อาจมีอาการข้างเคียงในการแพ้ยา ทำให้เกิดผื่นคัน กดการสร้างเม็ดเลือดขาวอาจส่งผลให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ เช่น โพรพราโนลอล (Propranolol) อาจช่วยลดอาการต่าง ๆ เช่น อาการใจสั่น มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว อาการวิตกกังวล อาจมีผลข้างเคียง เช่น อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ
- การบำบัดด้วยรังสีไอโอดีน โดยกลืนสารไอโอดีนกัมมันตรังสี ซึ่งจะทำให้เกิดการทำลายของเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์ ทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนได้ช้าลง นอกจากนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ต้องรับประทานยาฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนตลอดชีวิต เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนให้เป็นปกติ
- การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ เมื่อไทรอยด์บางส่วนถูกผ่าตัดออก อาจทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนได้ช้าลง หรือไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้ จึงอาจต้องรับประทานยาฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนตลอดชีวิต เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนให้เป็นปกติ
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย