backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

คลอดลูกเจ็บไหม คำถามที่พบบ่อยของคนเป็นโรคกลัวการคลอดลูก

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 27/07/2023

คลอดลูกเจ็บไหม คำถามที่พบบ่อยของคนเป็นโรคกลัวการคลอดลูก

คลอดลูกเจ็บไหม เป็นหนึ่งในคำถามที่พบบ่อยของผู้หญิงที่ต้องการตั้งครรภ์ หรือกำลังตั้งครรภ์  ซึ่งความกลัวการคลอดลูกนั้นอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ และหลายปัจจัย แม้ว่าการคลอดลูกจะเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่คุณแม่รอคอยที่จะพบหน้าลูกน้อย ความกลัวนี้หากเป็นมากจะเข้าสู่โรคกลัวการคลอดลูก หรือโทโคโฟเบีย ดังนั้น คุณแม่ควรหาวิธีรับมือโรคกลัวการคลอดลูกว่าควรทำอย่างไร

คำจำกัดความ

กลัวการคลอดลูก คืออะไร

โรคกลัวการคลอดลูก หรือโทโคโฟเบีย (Tokophobia) คือ เป็นการตอบสนองทางด้านอารมณ์และความรู้สึกไม่สบายใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ มีอาการกลัวสุดขีดของการคลอด เหมือนกันกับการกลัวที่สูงหรือกลัวสิ่งต่าง ๆ  โดยโทโคโฟเบีย มี 2 ประเภท คือ “ประเภทปฐมภูมิ” เกิดขึ้นได้หากไม่เคยให้กำเนิดมาก่อน “ประเภททุติยภูมิ” เคยผ่านการคลอดลูกมาแล้วครั้งหนึ่งและเกิดความกลัวจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้

โรคกลัวการคลอดลูก พบได้บ่อยแค่ไหน

ความกลัวนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน จากข้อมูลของ National Comorbidity Survey Replication (NCS-R) พบว่าประมาณ 9.1% ของผู้หญิงที่อายุเกิน 18 ปีมักเกิดอาการหวาดกลัวการคลอด โดยโทโคโฟเบียสามารถพบได้ใน 6-10% ของผู้หญิงตั้งครรภ์

อาการ

อาการของ กลัวการคลอดลูก

โดยอาการของผู้หญิงตั้งครรภ์ที่กลัวการคลอดลูกนั้นอาจมีความวิตกกังวล หรือจินตนาการไปต่าง ๆ นานา อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการนอน การกิน หรือส่งผลต่ออารมณ์ด้วย โดยอาการทั่วไปของกลัวการคลอด มีดังนี้

  • ตื่นตระหนก และวิตกกังวลมากขึ้น
  • นอนไม่หลับ หรือฝันร้ายอยู่บ่อย ๆ
  • อารมณ์แปรปรวน
  • ความอยากอาหารลดลง
  • หมดความสนใจในกิจกรรมที่เคยทำ
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ (ก่อนการตั้งครรภ์)
  • พยายามหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ โดยใช้วิธีการคุมกำเนิด
  • อัตราการเต้นของหัวใจถี่ขึ้น
  • ต้องการผ่าคลอด มากกว่าคลอดแบบธรรมชาติ

ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด

หากมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น หรือบางคนอาจมีอาการที่แตกต่างออกไปจากที่กล่าวมา ควรไปหาคุณหมอเพื่อตรวจสอบและปรึกษาเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น

ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของแต่ละคน

สาเหตุ

สาเหตุของ โรคกลัวการคลอดลูก

ผู้หญิงอาจมีสาเหตุหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการกลัวการคลอดลูกได้ ซึ่งไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมจึงเกิดอาการกลัวการคลอดลูกได้ โดยอาจมีสาเหตุมาจากดังนี้

  • มีประสบการณ์เชิงลบจากการคลอดครั้งก่อน
  • ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ จนทำให้เกิดความวิตกกังวลต่าง ๆ ตามมา
  • กลัวการไปส่งที่โรงพยาบาลไม่ทัน หรือกลัวโรงพยาบาล กลัวการทำคลอด กลัวการทำหัตถการ
  • เคยสูญเสียมาก่อน เช่น การแท้ง เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกลัวการคลอดลูก

มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่อาจส่งผลกระทบให้ผู้หญิงกลัวการคลอดลูก  ซึ่งอาจเป็นในกรณีดังกล่าว ได้แก่

  • มีประวัติการเป็นภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
  • เคยโดนล่วงละเมิดทางเพศ หรือข่มขืน
  • คิดคาดการณ์ไปล่วงหน้าว่าต้องมีความเจ็บปวดจากการคลอดอย่างแน่นอน
  • การดูคลิป หรือวิดีโอการคลอดของบุคคลอื่น ทำให้รู้สึกกลัว

การวินิจฉัยและการรักษา

ข้อมูลในนี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยโรคกลัวการคลอดลูก

เป็นการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ในการสอบถามอาการต่าง ๆ

การรักษา โรคกลัวการคลอดลูก

การรักษาอาการของโรคกลัวการคลอดลูกนั้น อาจมีหลายวิธี เช่น

  • พูดคุยเกี่ยวกับความกังวลต่าง ๆ กับเพื่อน หรือคนในครอบครัว
  • บอกพยาบาลผดุงครรภ์ หรือแพทย์ที่คุณฝากครรภ์ว่ารู้สึกอย่างไรในขณะนั้น
  • การเข้าคอร์สเรียนเพื่อศึกษาเกี่ยวกับการคลอด อาจสามารถช่วยให้รู้สึกพร้อมมากขึ้นและคลายความกลัวในบางเรื่องที่คิดกังวลไปล่วงหน้า
  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการคลอด เพื่อจะได้เตรียมตัวรับมือให้ดีขึ้น

หากมีอาการกังวลหรือวิตกจริตกับการคลอดมากจนถึงขั้นรุนแรง แพทย์อาจใช้วิธีการบำบัดด้วยจิตบำบัด และการให้ยาเพื่อรักษา

การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์

การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์

การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ หรือวิถีการใช้ชีวิตบางอย่างอาจช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ลดความวิตกกังวลจากการคลอดลูกได้ เช่น

  • การฝึกสมาธิให้อยู่กับตนเอง แบบไม่คิดฟุ้งซ่าน ซึ่งคุณแม่อาจจะฝึกโยคะ หรือการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อลดความตึงเครียด
  • กำหนดลมหายใจ เข้า-ออก อย่างเป็นประจำ การนั่งสมาธิอาจช่วยได้
  • การพูด หรือแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ กับคนในครอบครัวมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการดูข่าวอาชญากรรม หรือสิ่งที่ทำให้หดหู่

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ตั้งครรภ์ควรจะปรึกษา และขอรับข้อเสนอแนะจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม และหมั่นดูแลสุขภาพร่างกาย เพราะสุขภาพแม่นั้นสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

Duangkamon Junnet


เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 27/07/2023

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา