backup og meta

Colostrum หรือน้ำนมเหลือง อาหารเสริมภูมิคุ้มกันจากอกแม่

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงสุสิตา หวังจิรนิรันดร์ · พ่อแม่เลี้ยงลูก · โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร


เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 01/12/2022

    Colostrum หรือน้ำนมเหลือง อาหารเสริมภูมิคุ้มกันจากอกแม่

    Colostrum หรือโคลอสตรุม คือ น้ำนมเหลืองหรือหัวน้ำนม มีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองข้นที่หลั่งออกมาจากเต้านมของคุณแม่ในช่วงประมาณ 1-3 วันหลังคลอด น้ำนมชนิดนี้มีสารอาหารที่ครบถ้วนสำหรับทารกแรกเกิด ทั้งยังมีแอนติบอดีที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ และช่วยในการเจริญเติบโตของทารกได้เป็นอย่างดี และจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นน้ำนมสีขาวภายใน 2 สัปดาห์หลังคลอด ทั้งนี้ คุณแม่ควรให้ทารกกินนมแม่เป็นอาหารหลักเพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหารที่เพียงพอจากนมแม่ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับเด็กในวัยนี้

    Colostrum คืออะไร

    โคลอสตรุม (Colostrum) หรือน้ำนมเหลือง บางครั้งเรียกว่า หัวน้ำนม เป็นของเหลวสีเหลืองข้นที่หลั่งออกมาในช่วงประมาณ 1-3 วันหลังคลอด Colostrum มีความเข้มข้นสูงและอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญหลากหลายที่ดีต่อสุขภาพของทารกแรกเกิด แต่มีไขมันและน้ำตาลต่ำ น้ำนมเหลืองปริมาณ 100 มิลลิลิตรให้พลังงานประมาณ 58-67 กิโลแคลอรี หรือประมาณ 17 กิโลแคลอรี/ 1 ออนซ์ สีเหลืองอ่อนของน้ำนมเหลืองเกิดจากสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) อีกทั้งในน้ำนมเหลืองยังมีวิตามินเอ วิตามินเค โปรตีน สารช่วยในการเจริญเติบโต และเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ผลิตแอนติบอดีหรือสารภูมิต้านทานซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค จึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้กับทารกแรกเกิดได้

    เนื่องจากโคลอสตรุมหรือน้ำนมเหลืองผลิตมาจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่รกสร้างขึ้น เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เมื่อรกแยกออกจากมดลูกหลังคลอดฮอร์โมนจากรกจะลดลงอย่างมาก จนเมื่อผ่านไปประมาณ 3-4 วันหลังคลอดน้ำนมเหลืองจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นน้ำนมแม่ปกติที่จะหลั่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าร่างกายของคุณแม่จะหยุดผลิตน้ำนม

    สารอาหารในโคลอสตรุมมีอะไรบ้าง

    • อิมมิวโนโกลบูลิน เอ (Immunoglobulin A) แอนติบอดีชนิดหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของทารกแรกเกิดให้แข็งแรงขึ้น ถือเป็นภูมิคุ้มกันตัวแรก ๆ ที่ร่างกายทารกได้รับ
    • แลคโตเฟอริน (Lactoferrin) โปรตีนที่ออกฤทธิ์ต้านจุลชีพและเชื้อโรคต่าง ๆ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ
    • เม็ดเลือดขาวลูโคไซท์ (Leukocyte) เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันที่หลั่งออกมาพร้อมน้ำนมเหลือง
    • ไลโซไซม์ (lysozyme) เอนไซม์ที่มีฤทธิ์ย่อยสลายผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรีย จึงทำให้เชื้อตายได้
    • อีจีเอฟ (EGF หรือ Epidermal Growth Factor) โปรตีนที่มีส่วนประกอบของกรดอะมิโน สำคัญต่อการเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวของทารก
    • สารกระตุ้นการเจริญเติบโตของแล็กโตบาซิลัส (Bifidus Growth Factor) ที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้ได้
    • วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินเอ วิตามินเค แมกนีเซียม โซเดียม คลอไรด์

    ระยะของน้ำนมแม่

    ระยะของน้ำนมแม่ อาจแบ่งได้ดังนี้

    1. น้ำนมเหลือง (Colostrum) เป็นน้ำนมชนิดแรกที่หลั่งออกมาในช่วงประมาณ 1-3 วันหลังคลอด มีสีเหลืองข้น อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญหลายชนิด อาจหลั่งออกมาในปริมาณเพียง 1-4 ช้อนโต๊ะ/วัน น้ำนมในระยะนี้จะไหลช้าจึงช่วยให้ทารกแรกเกิดคุ้นเคยกับการดูดนม การกลืนนม และการหายใจได้ในเวลาเดียวกัน
    2. น้ำนมระยะที่ 2 (Transitional Milk) เป็นน้ำนมที่หลั่งออกมาในช่วงประมาณ 4-14 วันหลังคลอด ซึ่งเป็นระยะที่เปลี่ยนจาก  Colostrum หรือน้ำนมเหลืองไปเป็นน้ำนมแม่ปกติ น้ำนมในช่วงนี้จะมีสีขาวขุ่นหรือสีขาวอมฟ้า และมีไขมันมากขึ้น
    3. น้ำนมแม่ (Mature Milk) เป็นน้ำนมที่หลั่งตั้งแต่วันที่ 15 หลังคลอด มักมีสีขาว สีเหลืองอ่อน หรือสีขาวอมสีฟ้า อาจเปลี่ยนสีไปตามอาหารที่คุณแม่รับประทานและจะหลั่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าร่างกายของคุณแม่จะหยุดผลิตน้ำนม

    ประโยชน์ของ Colostrum ต่อสุขภาพทารก

    • ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้กับทารกแรกเกิด
    • ช่วยเคลือบลำไส้ของทารกแรกเกิด ป้องกันไม่ให้ร่างกายดูดซึมแบคทีเรียที่เป็นอันตราย
    • ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสมอง ดวงตา และหัวใจของทารกแรกเกิด
    • มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยให้ทารกแรกเกิดสามารถกำจัดอุจจาระที่ถ่ายออกมาครั้งแรกหลังคลอด (ขี้เทา) ได้ง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงของโรคดีซ่าน
    • สามารถย่อยได้ง่ายมาก
    • ช่วยป้องกันการเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำในทารกที่คลอดตามกำหนด

    การเก็บรักษาโคลอสตรุม อย่างถูกวิธี

    • เก็บในอุณหภูมิปกติหรืออุณหภูมิห้อง (ประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส) อาจเก็บได้นานประมาณ 6-8 ชั่วโมงหลังปั๊มหรือบีบจากเต้านม และควรใช้ให้หมดโดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้น้ำนมเสียเปล่า
    • เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา อาจเก็บได้นานประมาณ 3-5 วัน ควรเก็บไว้ด้านในสุดของตู้เย็น เพื่อให้น้ำนมเหลืองมีอุณหภูมิคงที่และไม่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป เมื่อนำออกมาใช้แล้ว ควรใช้ให้หมดภายใน 2 ชั่วโมง
    • เก็บในช่องแช่แข็ง หากเป็นช่องแช่แข็งในตู้เย็นประตูเดียวอาจเก็บได้ประมาณ 14 วัน หากเป็นตู้เย็นที่มีช่องแช่แข็งแบบประตูแยกอาจเก็บได้นาน 3 เดือน และหากเป็นตู้แช่แข็งอุณหภูมิต่ำ (Deep freezer) อาจเก็บได้นาน 6-12 เดือน โดยควรวางไว้ด้านในสุดของช่องหรือตู้แช่แข็ง เมื่อนำน้ำนมออกมาละลายแล้วควรใช้ให้หมดโดยเร็วที่สุด ไม่ควรนำไปแช่แข็งซ้ำ

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงสุสิตา หวังจิรนิรันดร์

    พ่อแม่เลี้ยงลูก · โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร


    เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 01/12/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา