backup og meta

จุดสีขาวบนใบหน้า ปัญหาผิวที่ควรรักษา

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงภัทรีวัลย์ โรจนพันธุ์ · โรคผิวหนัง · โรงพยาบาลวิภาวดี



เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 4 สัปดาห์ก่อน

    จุดสีขาวบนใบหน้า ปัญหาผิวที่ควรรักษา

    จุดสีขาวบนใบหน้า บางครั้งอาจเกิดจากสิวอักเสบ หลุมสิว แต่นอกจากสาเหตุเหล่านี้ยังอาจเกิดจากปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น กลากน้ำนม เกลื้อน โรคด่าวขาว โรคกระขาว ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าไม่เรียบเนียน มีรอยแผล และส่งผลต่อความมั่นใจ ดังนั้น การรู้ถึงสาเหตุของการเกิดจุดสีขาวบนใบหน้า อาจช่วยให้รักษาปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

    จุดสีขาวบนใบหน้า ที่ควรรักษา

    ผิวหน้าของแต่ละคนอาจประสบปัญหาที่แตกต่างกันออกไปตามสภาพผิว ซึ่งจุดสีขาวบนใบหน้าที่เกิดขึ้นนั้นอาจไม่ได้มีสาเหตุมาจากสิวเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากปัญหาผิวอื่น ๆ ดังนี้

    1. กลากน้ำนม

    กลากน้ำนม (Pityriasis Alba) เกิดจากความผิดปกติทางผิวหนัง โดยส้วนใหญ่มักส่งผลกระทบต่อเด็กอายุระหว่าง 6-12 ปี แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย กลากน้ำนมอาจส่งผลให้บริเวณผิวหนังมีสีชมพูอ่อน ๆ หรือแดง เป็นรูปทรงวงกลมหรือวงรี แห้ง มีขนาดตั้งแต่ 0.6-2.5 เซนติเมตร ส่วนใหญ่มักขึ้นบริเวณใบหน้า ต้นแขน คอ หน้าอก หลัง

    วิธีรักษากลากน้ำนม

    อาการที่เกิดขึ้นอาจจางหายไปเองภายในไม่กี่เดือน แต่ในบางคนอาจทิ้งร่องรอยไว้เล็กน้อยนานหลายปี การรักษาอาจขึ้นอยู่กับอาการที่เกิดขึ้น โดยส่วนใหญ้คุณหมออาจสั่งจ่ายยาสเตรียรอยด์ที่ประกอบด้วยสารไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) หรืออาจแนะนำมให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและลดความแสบร้อนโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า

    2. สิวหิน หรือมิเลีย

    สิวหิน หรือสิวข้าวสาร คือ ก้อนซีสต์มิเลีย (Milia) ขนาดเล็กที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครีมที่มีประสิทธิภาพรุนแรง และการเผชิญแสงแดดโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน นอกจากนี้ก้อนซีสต์มิเลียยังอาจเกิดจากการสะสมของเคราติน (Keratin) หรือโปรตีนของชั้นผิวหนังที่ถูกสะสมไว้ จึงทำให้ปรากฏออกมาเป็นลักษณะตุ่มนูนสีขาวอยู่บนผิวหน้า โดยสิวหินจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 มิลลิเมตร พบได้มากที่ในเด็กทารกแรกเกิด แต่ขณะเดียวกันก็อาจเกิดขึ้นได้กับผู้ใหญ่ในบางคนโดยมักปรากฎอยู่ตามส่วนต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น เปลือกตา แก้ม จมูก ในบางรายก็อาจเกิดขึ้นบริเวณลำตัว และอวัยวะเพศได้เช่นเดียวกัน

    วิธีรักษาสิวหิน

    โดยปกติแล้วสิวหินมักไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดเหมือนการเกิดสิว แต่อาจมีการระคายเคืองเล็กน้อยหากใบหน้าหรือบริเวณที่มีสิวหินสัมผัสกับวัตถุที่มีพื้นผิวหยาบ เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน เสื้อผ้า นอกจากนี้ สิวหินอาจจางหายไปได้เองภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ แต่หากกรณีที่เกินขึ้นนานกว่า 2-3 เดือน อาจเข้าพบคุณหมอ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี โดยวิธีการรักษาอาจมีดังนี้

    • การใช้เข็มที่เป็นอุปกรณ์จากทางการแพทย์เท่านั้น เจาะไปยังสิวหินเพื่อนำเคราตินที่ฝังตัวอยู่ออก
    • ทายากลุ่มผลิตภัณฑ์เรตินอยด์ (Retinoid) เพื่อผลัดเซลล์ผิว
    • ไมโครเดอร์มาเบรชั่น (Microdermabrasion) เป็นการกรอผิว หรือขัดผิวหนังชั้นบนสุดออก เพื่อให้ผิวหนังใหม่เผยออกมา
    • การลอกด้วยสารเคมีบางชนิด  เพื่อผลัดเซลล์ผิว และกำจัดก้อนซีสต์มิเลีย
    • การบำบัดด้วยความเย็น หรือไนโตรเจนเหลว
    • เลเซอร์เพื่อเอาก้อนสิวหินออก

    3. โรคเกลื้อน

    เกลื้อน (Pityriasis Versicolor) เกิดจากการติดเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ที่เจริญเติบโตมากเกินไป จนส่งผลต่อการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ซึ่งสังเกตได้จากรอยด่างบนผิวหนัง รวมถึงอาจมีอาการคัน ผิวตกสะเก็ดร่วมด้วย หากสังเกตเห็นว่ารอยด่างมีขยายใหญ่กว่าเดิม หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยารักษา ควรเข้ารับการรักษาจากคุณหมอทันที

    วิธีรักษาเกลื้อน

    เมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าหรือผิวหนังเริ่มมีร่องรอยสีขาวคล้ายเกลื้อน อาจซื้อยามาทา และเข้าขอรับคำปรึกษาจากคุณหมอ ซึ่งคุณหมออาจสั่งจ่ายยาทาต้านเชื้อรา พร้อมกับการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหนังป้องกันเชื้อราเพื่อชะลอการเจริญเติบโตของยีสต์ร่วมด้วย แม้จะรักษาโรคเกลื้อนหายดีแล้ว แต่ก็อาจเกิดโรคซ้ำได้หากอยู่ในสภาพอากาศร้อนชื้น

    4. โรคด่างขาว

    โรคด่างขาว (Vitiligo) นี้มักปรากฏขึ้นเป็นหย่อม ๆ ในบริเวณผิวหนังที่มีการสูญเสียเม็ดสี (Melanin) ไป โดยส่วนใหญ่มักมีลักษณะเป็นวงกลมสีขาวในวงกว้างที่พบได้มากที่สุดบริเวณใบหน้า แขน มือ ขา ส้นเท้า และอวัยวะเพศ ที่สำคัญโรคด่างขาวอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกเกิดทางการสืบทอดพันธุกรรมของคนในครอบครัวที่มีประวัติโรคมาแต่เดิม

    วิธีรักษาโรคด่างขาว

    เมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าหรือผิวหนังเริ่มมีร่องรอยสีขาวคล้ายเกลื้อน อาจซื้อยาฆ่าเชื้อรามาทา และเข้าขอรับคำปรึกษาจากคุณหมอ ซึ่งคุณหมออาจสั่งจ่ายยาทาต้านเชื้อรา พร้อมกับการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหนังป้องกันเชื้อราเพื่อชะลอการเจริญเติบโตของยีสต์ร่วมด้วย แม้จะรักษาโรคเกลื้อนหายดีแล้ว แต่ก็อาจเกิดโรคซ้ำได้หากอยู่ในสภาพอากาศร้อนชื้น

    5. โรคกระขาว

    โรคกระขาว (Idiopathic Guttate Hypomelanosis) บนผิวหน้าและแขนด้านนอก ที่มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ สีขาวโดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-5 มิลลิเมตร อาจมีสาเหตุมาจากการได้รับรังสียูวีจากแสงแดดมากเกินไป อีกทั้งร่องรอยจุดสีขาวยังอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดฝ้าแดดได้เริ่มมีอายุมากขึ้น

    วิธีรักษาโรคกระขาว

    สภาพผิวของผู้คนที่ประสบปัญหาโรคกระขาวแต่ละคนนั้นอาจได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วการรักษาโรคกระขาวอาจทำได้โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยเรตินอยด์ ซึ่งคุณสมบัติช่วยลดรอยจุดด่างดำ และกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ผิว โดยควรทาเป็นประจำหรือตามคำแนะนำของคุณหมอ

    นอกจากการยารักษาแล้ว อาจจำเป็นที่ต้องหาครีมกันแดดที่มาค่า SPF 30 ขึ้นไปมาทาร่วมด้วย เพื่อป้องกันผิวจากรังสียูวี ที่อาจก่อนให้เกิดโรคกระขาว หรือฝ้าแดดในอนาคต

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงภัทรีวัลย์ โรจนพันธุ์

    โรคผิวหนัง · โรงพยาบาลวิภาวดี



    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 4 สัปดาห์ก่อน

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา